เคยมีความรู้สึกนี้บ้างมั้ย แล้วทำยังงัย
โดย Beaute_Gal
Beaute_Gal
#1
"เคยมีความรู้สึกนี้บ้างมั้ย แล้วทำยังงัย"
เหมือนอยากจะระบายแต่ไม่รู้จะหันหน้าไปพูดกะใครแล้ว
เคยบ้างมั้ยที่รู้สึกว่าทำงานหนักมากจนไม่รู้ว่าจะทำมากไปเพื่ออะรัย เพื่อตำแหน่ง เพื่อเงิน เพื่อความก้าวหน้า แล้ว...จะมีไปมากๆ ทำไม ทำไมต้องดิ้นรนด้วยหล่ะ
ตอนนี้เหมือนสับสน ขับรถไปทำงานก้อร้องไห้ทุกวัน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าร้องทำไม มันเหมือนถึงจุดที่สุดแล้วว่ามันเหนื่อย มันไม่ไหวแล้ว ทำไปเยอะมาก แต่ผลลัพธ์กับเงียบและยังว่างเปล่าอยู่

ไม่เคยทำงานที่ไหนแล้วรู้สึกเหนื่อยมากยังงี้เลย เหนื่อยทั้งกายและใจ แต่บางครั้งก้อดีใจที่ได้ลองทำเพราะเค้าก้อให้โอกาสเรามากมายโดยไม่คิดว่าเด็กๆอย่างเราอาจจะทำพลาดก้อได้ เค้าก้อให้เราทำ เฮ่อ..ไม่รู้จะเอางัยดี

บางครั้งคิดว่าเราควรหาที่ที่เบากว่านี้แล้วบาลานซ์เวลาให้ที่บ้านบ้างจะดีกว่ามั้ยเพราะไม่ใช่ว่าที่บ้านจะอยู่ให้เราพูดคุยอีกนาน งาน..ทำเมื่อไหร่ก้อได้ หาเงินเข้าบ้านเยอะๆ แล้วยังงัย ถ้าเค้าไม่ได้คุยกะเราเลยในวันวันนึง

บางครั้งเหมือนมีความหวัง บางครั้งกลับกลัวว่าไอที่หวังมันจะลมๆแล้งๆ เหมือนบช้าคิดอยู่คนเดียว
หรือว่าเราคิดมากเกินไป??

หรือว่าเราควรต้องไปพักผ่อนบ้าง??

หรือว่าเราควรเด็กเกินไป?? แล้งงัยอ่ะ ทำไมอ่ะ ไม่เข้าใจ
ไอที่แก่ๆ ทำงานไม่ได้เรื่องก้อมีเยอะแยะ บริษัทก้อยังเลี้ยงไว้ (ทำอะไรก้อไม่รู้) แบบมาทำงานเกือบเที่ยงกลับบ้านตรงเวลา เดือนนึงแกล้งป่วยซะห้าวัน รับผิดชอบก้อน้อยกว่าเรา ทำงานก้อช้ากว่าเราต้องให้เด็กๆ เค้ารอเพื่อรวมงานส่งที่เดียวเป็นประจำ แต่บริษัทก้อยังเลี้ยงดีกว่าเรา แค่ทำงานมาเยอะปีมากกว่าแค่นั้นเหรอ??

เลี้ยงไว้เพื่ออะไร??

ขอบคุณค่ะที่เข้ามารับฟัง : )
Gift_piya
#2
อย่าคิดมากเลยนะคะ เราก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน ทำงานหนักเกิน ไม่มีเวลา ทำดีไปแล้วไม่ค่อยมีคนเห้น

แต่ถึงยังไง ลองคุยกะที่บ้านเรื่องนี้ดูนะคะเผื่อสบายใจขึ้น พ่อแม่พี่น้องเรา เป็นคนที่เค้ารักเรามากที่สุด

เมื่อไม่สบายใจขนาดนี้ เค้าต้องให้กำลังใจแน่นอน รับรอง หายเหนื่อยกว่าเดิมเยอะค่ะ

ยังไงก็จะไปกำลังใจให้นะคะ
Keeki
#3
เอ่อ เราเป็นคนไม่เลือกทำงานหนักอยู่แล้วอ่ะค่ะ เหะๆ

ยังไงก็ไม่ต้องคิดมากนะคะ ทำดีที่สุดก็พอละค่ะ
srichardson
#4
มีใครไม่รู้เค้าบอกว่า " เหนื่อยเพราะทำงาน ก้อยังดีกว่าไม่มีงานทำ ท้อแท้ที่ผิดหวัง ก้อยังดีที่มีชีวิตอยู่" เวลาน้องขับรถไปทำงานให้มองออกไปนอกหน้าต่างซิค่ะ ดูคนตามถนน ตามข้างทางที่เค้าลำบากกว่าเราตั้งเยอะ พวกขายของรถเข็น ต่างๆเด็กกำพร้าที่ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีแม้แต่บ้านจะอยู่ เรายังสบายกว่าพวกเค้าตั้งเยอะ ;)

บางที่อาจจะลาพักร้อนไปไหนไกลๆ หรือกลับบ้านไปหาคุณพ่อคุณแม่ พาท่านออกไปทานข้าวนอกบ้านย้าง นานแค่ไหนแล้วน้อ ที่ไม่ได้กอดและหอมพ่อแม่ นานแค่ไหนแล้วน้อที่ไม่ได้กลับไปหาท่าน แล้วกำลังใจจะกลับมาเองค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะ สู้ๆๆค่ะ ;)
KwaNn
#5
มาให้กำลังใจ จขกท จ้า
ยังมีเพื่อนๆใน sbn น้า


บางที่อาจจะลาพักร้อนไปไหนไกลๆ หรือกลับบ้านไปหาคุณพ่อคุณแม่ พาท่านออกไปทานข้าวนอกบ้านย้าง นานแค่ไหนแล้วน้อ ที่ไม่ได้กอดและหอมพ่อแม่ นานแค่ไหนแล้วน้อที่ไม่ได้กลับไปหาท่าน แล้วกำลังใจจะกลับมาเองค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะ สู้ๆๆค่ะ ;)

^
^^
คุงพี่นีน่าพูดได้ซึ้งมากกก
ชอบมากก รักพ่อรักแม่มากกเรยย
แบบว่าอยากกอดแม่มาหลายวันแระมะมีโอกาสซะที
อยากกอดแม่นานๆๆ นั่งกินข้าวดูทีวีด้วยกัน
KAN
#6
noonee
Senior Member
Brandname Fan
Join Date: Feb 2008
Posts: 306


 แม่รักลูกเสมอ
จงจำไว้...แม่รักลูกเสมอ'

คำพูดสุดคลาสิกนี้ กำลังกล่าวถึงอย่างมากมายในสื่อจีน
จะย้อนเหตุการณ์เบื้องหลังให้ฟัง ที่คุณจะต้องปาดน้ำตา…



หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่คร่าชีวิตชาวจีนในจังหวังซื่อชวนไปกว่า 3 หมื่นชีวิต ได้มีเรื่องราวน่าสลดเกิดขึ้นมากมาย แต่ระหว่างช่วงนาทีอัดสุดระทมนั้น ก็ยังมีเรื่องสุดประทับใจเกิดขึ้น


เมื่อทีมกู้ภัยเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่คาดว่าจะรอดชีวิตใต้ซากตึกหักพัง เขาได้เห็นแผ่นหลังของหญิงคนหนึ่ง จากท่าทางกำลังคุกเข่าอยู่ แต่ก็เชื่อว่าเสียชีวิตแล้ว เมื่อเข้าไปดึงตัวเธอออกมาก็พบสิ่งสะเทือนใจ เพราะในอ้อมกอดของเธอมีเด็กชายที่กำลังดูดนมจากอกของเธออยู่ ที่สำคัญ เด็กน้อยคนนี้ยังมีลมหายใจอยู่…ใช่! เขารอดชีวิต แต่แม่ของเขาได้เสียสละชีวิตเพื่อเขาแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ ทีมหน่วยกู้ภัยยังเหลือบเห็นมือของเธอ ที่กำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น และเมื่อหยิบออกมาดู ก็พอข้อความ ที่เธอพิมพ์ผ่าน SMS เอาไว้ เพื่อบอกลาลูกน้อยสุดที่รัก ข้อความนี้ เป็นข้อความสั้น ๆ ที่กลั่นออกมาจากหัวใจของแม่ที่ใกล้สิ้นลม เพื่อส่งผ่านความรักแบบไร้เงื่อนไข แม้แต่ชีวิตก็ยอมให้กับลูกของเธอได้

หน้าจอมือถือ มีข้อความว่า “ลูกรักของแม่…ถ้าลูกมีชีวิตรอด แม่อยากบอกให้ลูกรู้ว่า แม่รักลูกมาก”




""""""""""นี่แหละหนาชีวิตของแม่ ลูกคือดวงใจของแม่เสมอ"""""""""

-----------------------------------------------------------------------

อยากให้อ่านค่ะ.....มีให้คิด 2 จุดค่ะ

1. แม่รักลูกเสมอค่ะ คุณรู้ไหมค่ะตอนคุณเล็กๆ แม่ และ ผู้ทีรักคุณเค้า
ได้ทำอะไรให้คุณบ้าง จนคุณโตมาจนถึงปัจจุบัน

เราเองเป็นแม่คนแล้วรู้ซึ้งถึงความรักจากแม่เลยค่ะ เรารักลูกเราอยางไรแม่
ก้อรักเราอย่างนั้นเหมือนกัน วันนี้คุณได้ตอนแทนความรักของท่านแล้วหรือยัง
เพราะท่านก้อคงอยู่กับเราอีกไม่นานแล้ว หันหลังกลับไปมองคนที่เค้ารักเราดี
กว่าค่ะ

2. จากเห็นเหตุการณ์ข้างตน คุณลองคิดซิว่าเด็กคนนั้นแม่เค้าต้องเสียชีวิต
แล้วอนาคตเค้าจะเป็นอย่างไร ยังไม่รวมถึงเด็กกำพร้า เพราะพ่อ-แม่เสียชีวิต
เพราะโรคร้ายต่างๆ เด็กที่ประสบเคราะห์กรรม จากภัยธรรมชาติต่างๆ เค้าอยู่
อยางไรค่ะ

เราเองเป็นแค่ประชาชนทั่วไป เคยผ่านเรื่องร้ายๆ อย่างคุณเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่
ช่วยเราได้เยอะมากๆ คือ ทางธรรมค่ะ ทำบุญอย่าคิดมากนะค่ะ สวดมนต์บ้าง
จะได้มีสติ ถ้าคุณทำบุญแล้วคิดมากคุณจะไม่เป็นสุขค่ะ ไม่ว่าจะทางวัดทั่วๆ ไป
หรือทำบุญกับผู้ยากไร้ สร้างความสุขให้กับผู้ที่เค้ายังต้องการความช่วยเหลือ
อยู่สิค่ะ ใจจะได้เป็นสุขมีคนที่เค้าแย่กว่าเราตั้งเยอะ

ยาวเชียว......จบแล้วค่ะ...
เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้...สู้...:p
due
#7
เคยเป็นค่ะ และก็รู้สึกสงสารน้องBeaute_Gal จริงๆค่ะ ที่น้องเป็นทุกข์ ก็เพราะความคิดที่เป็นลบของตัวเองค่ะ

เพราะสิ่งตั้งความหวังไว้เป็นวัตถุ เช่นเงินทอง รถ บ้าน คิดว่าถ้ามีสิ่งเหล่านี้มะไหร่เราจะมีความสุขมากกก แต่พอได้สิ่งเหล่านั้นมาแล้วกลับรู้สึกว่างงงเปล่า ไม่เห็นมีความสุขมากอย่างที่คิด แล้วก็เอาตัวเองไปเปรียบเที่ยบกับคนอื่น ก็ยิ่งเป็นทุกข์ เพราะเราได้ทุกอย่างมาอย่างยากลำบาก แต่ทำไมคนอื่นไม่เห็นต้องทำอะไรมากก็ได้ทุกอย่างแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แล้วก็พาลไม่อยากจะทำอะไรไปเลย

ต่อไปนี้เป็นข้อความที่ code มาจากหนังสือ The top secret ของคุณหมอสม สุจีรา (แต่คนที่อ่านแล้วคิดว่าไม่เข้าใจหรือเข้าใจยาก ขอแนะนำให้อ่านหนังสือธรรมมะมาก่อน ของเราอ่านเรื่อง"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" )

" เรามักจะคิดว่า "เงินคือพระเจ้า" เพราะเงินเท่านั้นที่จะทำให้ภาพฝ้นของเราเป็นจริงได้ ความจริงแล้วพระเจ้าทรงอยู่ในจิตของพวกเราทุกคน และมีพลังอำนาจเหนือกว่าเงินอย่างเทียบกันไม่ได้ ถ้าเชื่อว่าเงินสามารถบันดาลทุกสิ่งให้คุณได้ เช่นนั้นแล้วจงเชื่อในพลังของความคิด เพราะนั่นคือพระเจ้าของจริง ยังมีบางสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ เช่นความรัก ความอบอุ่น ความหวังดี ความซื่อสัตย์ ฯลฯ แต่พลังจากความคิดให้คุณได้ เงินอาจสร้าเพียงวิมานได้จริง แต่พลังความคิดนอกจากจะสร้างวิมานให้ตามฝันแล้ว ยังมอบความรักความอบอุ่นแห่งวิมานนั้นเข้ามาด้วย "

" เด็กๆถูกสอนให้รู้จักอำนาจของเงิน ตั้งแต่อายุสองสามขวบ แต่อำนาจของความคิดซึ่งมีพลังมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า กลับถูกละเลย บางคนอายุจะเจ็ดสิบยังไม่เข้าถึงความลับนี้เลย "

" คิดดีมีประโยชน์ คิดไม่ดีก็เกิดโทษ "
" คิดดี คิดร้าย ร่างกายตอบสนอง "
" คิดบวกดึงดูดบวก คิดลบดึงดูดลบ "
" ค้นให้พบบวก แม้แต่ในสิ่งที่เป็นลบ "

สรุป คนเราจะสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่ความคิดของเรานั้นเอง เพราะความคิด ก่อให้เกิดความรู้สึก คิดดีก็รู้สึกดี คิดร้ายก็ทุกข์เอง ทำยังไงให้มีแต่ความคิดดีๆคิดบวก ทำได้โดยการคิดแบบมีสติสัมปชัญญะ แล้วทำไงจะเป็นคนมีสติสัมปชัญญะดี โดยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้ายังทำไม่ได้ก็ศึกษาธรรมมะเป็นพื้นฐานไปก่อน ถ้าพร้อมก็ไปนั้งสมาธิกรรมฐานดูนะคะ ตัวอย่าง นู๋แหม่ม(สุริวิภา) เค๊าเป็นคริสต์นะคะ แต่ไปนั้งกรรมฐานมาแล้ว เค๊าบอกว่าดีมากกกก ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาเดียวที่สอนวิธีดับทุกข์ ........
oatty
#8
ให้กำลังใจด้วยคนนะค่ะ สู้ต่อไปค่ะ
nataliepinku
#9
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ต่อไปค่ะ อย่าเพิ่งท้อแล้วคิดอะไรมากนะคะ
ทำใจให้สบายๆดีกว่า เหนื่อยก้อพักค่ะ ลองพักงานไปพักผ่อนหย่อนใจมั่งก้อดีนะคะ
คิดมากๆก้อปวดหัวค่ะ


Originally Posted by srichardson
มีใครไม่รู้เค้าบอกว่า " เหนื่อยเพราะทำงาน ก้อยังดีกว่าไม่มีงานทำ ท้อแท้ที่ผิดหวัง ก้อยังดีที่มีชีวิตอยู่" เวลาน้องขับรถไปทำงานให้มองออกไปนอกหน้าต่างซิค่ะ ดูคนตามถนน ตามข้างทางที่เค้าลำบากกว่าเราตั้งเยอะ พวกขายของรถเข็น ต่างๆเด็กกำพร้าที่ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีแม้แต่บ้านจะอยู่ เรายังสบายกว่าพวกเค้าตั้งเยอะ ;)

บางที่อาจจะลาพักร้อนไปไหนไกลๆ หรือกลับบ้านไปหาคุณพ่อคุณแม่ พาท่านออกไปทานข้าวนอกบ้านย้าง นานแค่ไหนแล้วน้อ ที่ไม่ได้กอดและหอมพ่อแม่ นานแค่ไหนแล้วน้อที่ไม่ได้กลับไปหาท่าน แล้วกำลังใจจะกลับมาเองค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะ สู้ๆๆค่ะ ;)


ชอบที่พี่นีน่าบอกมากๆเลยค่ะ คิดถึงป๊าก่าม๊าขึ้นมาทันที
yainong
#10
สนใจไรมากมาย เราทำดีที่สุดก็พอค่ะ ในเมื่อคิดดีทำดี ผลงานก็มี ใครจะว่ายังไงจะสำคัญหรือคะ หรือใครจะสบายกว่าเรา ก็ถ้าเค้าสบายใจแค่นั้นก็แล้วแต่ค่ะ เราภูมิใจในงานและหน้าที่ของเราเราก็มีความสุขค่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ " ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน " เดินหน้าต่อไปค่า
pen_guin
#11
ตอนนี้น้องน่าจะกำลังสับสนเพราะเหนื่อยล้ากับการทำงานหนัก
เราเคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำงานหนักมาก ถ้าฟ้าสว่างอยู่ กลับบ้านไม่ค่อยถูก
นั่งทำงานถึง 3 - 4 ทุ่ม โดยไม่มีโอที พอมองย้อนกลับไปก็คิดเหมือนกันว่าทำไปด้ายยย
แต่สิ่งนึงที่จะได้มาโดยไม่รู้ตัว คือประสบการณ์และความรู้จากการทำงานค่ะ

อยากให้กำลังใจนะคะ ดูจากที่ระบายแล้วเหมือนจะไม่ได้รับ feedback ที่ดี
ถ้ายังอายุน้อย ยังไม่อยากให้ท้อนะคะ ให้มองว่าเป็นการฝึกให้เราเก่งค่ะ
เมื่อไหร่ที่เก่งแล้ว งานที่เคยใช้เวลามาก จะใช้เวลาน้อยลง แล้วงานจะเบาขึ้นเองนะคะ
ความเก่งนี้ ไม่ได้เกิดผลดีกับบริษัทที่น้องทำเท่านั้น แต่มันจะติดตัวน้องไปด้วย ถือเป็นสมบัติติดตัวไป
เหมือนตอนนี้ ที่เราสามารถนำสิ่งที่ได้จากการทำงาน มาใช้ในการทำธุรกิจของตัวเอง

ในส่วนของผลตอบแทน ไม่อยากให้มองแค่เราทุ่มเทกับงาน แล้วทำไมหัวหน้าไม่เห็นปรับเงินเดือนให้แค่เพียงอย่างเดียวนะคะ
ในฐานะที่เป็นทั้งลูกน้องและหัวหน้ามาก่อน
การพิจารณาผลงาน ต้องดู 2 อย่างค่ะ ทั้งความทุ่มเท และคุณภาพของงาน
และต้องรู้จักนำเสนอด้วยนะคะ
เคยเจอมาเยอะค่ะ พวกทำงานไม่เป็น แต่นำเสนอเก่ง ได้ดีซะงั้น อย่ายอมแพ้พวกนี้ค่ะ
ถ้าเชือ่มั่นว่าทำงานออกมาได้ดี ต้องรู้จักนำเสนอด้วยค่ะ ไม่อย่างนั้นอาจเข้าข่าย ทำดีแล้วไม่มีคนเห็น
อดทนนิดนึงนะคะ การที่เค้าให้โอกาส ถือว่าเค้าให้เครดิตเรานะคะ บางคนไม่มีโอกาสแบบนี้ ความก้าวหน้าก็จะไม่มีค่ะ

ในส่วนของพนักงานอื่นๆ อยากให้ทำใจนะคะ หลีกเลี่ยงยาก ถ้าทำงานร่วมกับคนอื่น
อยากให้มองในแง่บริษัท บางครั้งก็ไม่ได้อยากได้พนักงานพวกนี้ไว้นะคะ
แต่ตามกฎหมายแรงงานแล้ว ไม่สามารถไล่ใครออกได้ง่ายๆนะคะ ต้องชดเชยกันอานเลย
ดังนั้น ถ้าไม่เหลือขอจริงๆ เค้าก็คงยังทำงานได้ต่อไปอะคะ

มองโลกในแง่ดีนะคะ อย่างที่เพื่อนๆคอมเมนท์ มีงานทำยังดีกว่าไม่มี
คนที่ได้ทำงานที่ชอบถือเป็นคนที่โชคดีที่สุด แต่มีคนจำนวนน้อยมากที่จะโชคดีแบบนั้น
ดังนั้น ความสุขในการทำงาน อยู่ทีใจนะคะ ทำใจให้รักในงานที่ทำให้ได้ จะดีที่สุดค่ะ
SuperMonkey
#12
เคยเป็นครับ...เข้าใจเลย
nikio
#13
เคยเป้นเลยคะ....ซักเมื่อเริ่มตั้งแต่เมื่อกลางๆเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมานี่เอง...
เป้นมาสามอาทิตย์ได้..
เพิ่งหายได้อาทิตย์เดียวเอง...
ปัญหาคล้ายครึงกัน...ร้องไห้ทุกวันเลย...
กลางคืนก็ผวาตื่นตลอดแล้วก็นอนไม่หลับ...เป้นแบบนี้นานเลยคะ...
นน.ลดเลย...รู้สึกว่าตัวเองเครียด...อยู่คนเดียว...
ไม่มีใครเลย....พูดกับใครก้ไม่มีใครเข้าใจ...
จะพึ่งแฟน...มันก็พึ่งไม่ได้...ดูมันไม่สนใจเรา (แต่ปากมันบอกว่ามันสนใจ)
พอตอนนี้หายแล้วคะ....จู่ๆพอทุกอย่างคลี่คลายก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม...

ส่วนแฟนก็บอกเลิกเลยคะ....ยามเราต้องการเพื่อนเพื่อระบาย แต่พึ่งไม่ได้ไม่รู้จะเก้บไว้ทำไม...(แต่เค้าขอเวลาแก้ตัวนะค่ะ แต่คงต้องเริ่มพยายามใหม่ เพราะตอนนั้น เค้าทำให้เราเห้นอะไร หลายๆอย่างคะ)

เอาเป้นว่าเป้นกำลังใจให้นะค่ะ....เดี๋ยวก็จะผ่านไปได้คะ....
เข็มแข็งไว้นะค่ะ...ถ้าไม่ไหวก็ร้องไห้โฮเลยนะค่ะ....ช่วยได้เยอะจิงๆคะ....
cherry_k
#14
มาให้กำลังใจค่ะ เข้มแข็งเข้าไว้นะคะ

ถ้ามันยังเครียดๆอยู่ ลองพักสักหน่อยดีกว่ามั๊ยคะ

ลาหยุดไปอยู่เงียบๆสักสองสามวัน ปิดมือถือ มันอาจจะทำให้เราได้อยู่คนเดียวและคิดอะไรบางอย่างได้นะคะ

เข้มแข็งค่ะ สู้สู้นะคะ เอาใจช่วยค่ะ
natraps
#15
เป็น"กำลังใจ"ให้นะค่ะ

เคยเป็นค่ะ บางทีเหมือนเรากำลังแบกอะไรอยู่นะค่ะ แล้วพอมีเหตุการณ์อะไรเข้ามาก็เหมือนฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้เราทั้งเหนื่อยและท้อค่ะ

ลองถอยออกมาจากตรงนั้นสักหนึ่งก้าวนะค่ะ แล้วเราจะได้เห็นอะไรชัดเจนมากยิ่งขึ้นค่ะ

ร้องเพลงให้ฟังหนึ่งเพลง (หนึ่งท่อนค่ะ) "หากเหนื่อยนัก ก็จงหยุดพัก" ใช้ได้จริงค่ะ

พักร้อนสัก 2-3 วันนะค่ะ แล้วไปเที่ยวเงียบๆ สงบๆ ชาร์ตแบตหน่อยค่ะ ลองคุยกับคนที่บ้านดูนะค่ะ ยังไงๆ พ่อแม่ พี่น้อง คือคนที่จะไม่ทิ้งเราไปไหนค่ะ

สู้ๆ ค่ะ :D
AAA
#16
เคยคิดค่ะ ในอดีตเมื่อตอนเริ่มทำงานใหม่ ๆ ค่ะ คิดคล้าย ๆ น้องแหละค่ะตอนนั้นพี่ทำงานต่างจังหวัดอาทิตย์นึงกลับบ้านนอนบ้านแควันเดียว แล้วก็ต้องไปทำงานอีก เหงามากกกกกกกกกกก......ร้องไห้บ่อย ๆ ด้วย ถามตัวเองว่าทำไม ตรู......ต้องลำบากทำงานอย่างนี้ด้วยนะ งานของพี่ไม่มีเพื่อนคนอื่น ๆ นะค๊ะ เป็น saleman ตจว. ทำงานเสร็จก็เข้าที่พัก วัน ๆ ไม่ได้คุยกับใครนอกจากลูกค้า ลูกค้าก็มีแต่ผู้ชายยิ่งทำตัวลำบากใหญ่ เครียดมากกกกกกกค่ะ

คำตอบคือ เพื่อวันข้างหน้าจะได้มีหน้าที่การงานที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ มีรายได้มากกว่าเดิม ทนสักพัก แล้วทุกอย่างก็เป็นอย่างที่คาดไว้

หลังจากนั้นพอมีหน้าที่การงานดีขึ้น รายได้มากขึ้น คำถามก็มีอีกอยู่ดีว่าทำไมต้องให้ลูกค้า เจ้านาย บ่นด่าทุกวัน ทำไมมันเครียดอย่างนี้ ทำไมต้องเหนื่อยต้องดิ้นรนอย่างนี้ เพื่ออะไร คำตอบคือเพื่อเงินค่ะ เพื่อตอบสนองความต้องการ กิเลสของตัวเองค่ะ

หลังจากได้คำตอบพี่เอาเงินในธนาคารมาคำนวณเลยค่ะว่าจะอยู่ได้กี่ปีโดยใช้เงินเท่าที่จำเป็นค่ะ โดยลดละทุกอย่าง หยุดความต้องการทั้งหมด หลังจากนั้นลาออกจากงานเลยค่ะ อยู่บ้านเฉย ๆ วัน ๆ เอาแต่กินนอน ไม่ทำอะไรเลยอยู่ปีกว่า ๆ ค่ะ

แล้วค้นพบว่า...... ทำไมเราทำตัวไร้สาระอย่างนี้ เรียนมาก็เยอะ ทำไมไม่ทำอะไรเลย ทำตัวเป็นคนไร้ค่าไร้ประโยชน์มากค่ะ ยิ่งนานวันเราก็เริ่มแก่ เด็กรุ่นหลังก็มีแต่พัฒนาขึ้น ..... เริ่มเลยค่ะ หางานใหม่ ..... หลังจากนั้นจึงรู้ว่า.... นี่แหละค่ะคือชีวิต ทุกคนมีความอยาก และไม่อยากอยู่ในคน คนเดียวกัน วันนี้เราทุกข์ พรุ่งนี้เราสุข ....

..... วันนี้คุณอาจจะเหนื่อย ล้า ลองหยุดสักพัก ..... แล้วคุณก็จะค้นพบตัวเองว่าต้องการอะไร.... และต้องทำอย่างไรค่ะ

หรือไม่ก็ตอนนี้น้องยังเด็กยังเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ถ้าน้องโตขึ้นมีหน้าที่การงานที่ดีขึ้น อาวุโสขึ้น ตอนนั้นน้องอาจจะเป็นผู้กระทำก็ได้ค่ะ มันเป็นวัฎจักรค่ะ
Meesook
#17
เคยเป็นค่ะ แต่หายเร็ว เพราะ "งานไม่ใช่ชีวิต" ค่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม การมีปัญกาในชีวิต หรือความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ เนี่ย เราต้องยอมรับว่าเป็นธรรมดาของชีวิตค่ะ แต่เดี๋ยวอารมณ์ท้อแท้นี้มันก็หายไป และเดี๋ยวมันก็จะมาอีกได้ หรือไม่ก็มีปัญหาอื่นอีก นี่คือชีวิตค่ะ

อยากแนะนำให้น้องมองที่ตัวเองเป็นนะคะ และชื่นชมตัวเอง เรื่องผลงาน หรือการโปรโมทนั้น เป็นเพียงรางวัลเปลือกนอกค่ะ รางวัลที่แท้จริงคือน้องได้เรียนรู้ค่ะ แค่ได้ทำงาน ก็ได้รางวัลแล้วค่ะ

แนะนำหนังสือสองเรื่อง A Conversation with God อันนี้ไม่ใช่พระคริสต์นะคะ ต้องลองไปอ่านดู และอีกเล่มนึง The Tao of Pooh ค่ะ ใช่ชีวิตตามวิถีหมีพูห์นั้น ตรงกับที่เต๋าบอกไว้ค่ะ และจะทำให้ไม่เครียดอีกเลยด้วยค่ะ

ส่วนเรื่องคนที่ทำงานนั้น อย่าเอาอารมณ์ไปอยู่ตรงนั้นเลยนะคะ เพราะคนพวกนี้ไม่สำคัญกับชีวิตเราค่ะ เราเจอคนพวกนี้ก็แค่ไม่กี่ปี พอน้องลาออก หรือเค้าลาออก ชีวิตก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วค่ะ คนที่เราควรจะแคร์ คือคนที่สำคัญในชีวิตค่ะ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ เพื่อนสนิท แฟน...

น้องควรจะพักผ่อนบ้างค่ะ หยุดงานซักเดือน หรือสองอาทิตย์ ใช้ชีวิตสบายๆ นอนเยอะๆ ออกกำลัง ไปทำบุญบ้างฝึกวิปัสสนาก็ดีนะคะ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ แต่ไม่แนะนำให้ไปฝีกตอนจิตใจว้าวุ่น เพราะมันจะฟุ้งซ่านเยอะ

อ้อ แนะนำอีกอย่าง ลองแบ่งเวลาไปช่วยงานตามมูลนิธิต่างๆ สิคะ แบบนี้ จะทำให้เราฝึกการ ทำดีโดยไม่หวังผลค่ะ เพราะมูลนิธิ ไม่มีเงินจ่ายให้ แต่ความจริงเราได้ผลตอบแทนดีเยี่ยมเลยค่ะ คือเราได้เรรียนรู้ชีวิต จากชีวิตของคนอื่นค่ะ ทำให้มองคนอื่น มากกว่ามองแต่ตัวเอง ก็จะเลิกหมกมุ่นกับปัญหาของตัวเองไปได้

Meesook เองงานยุ่งมาก และเดินทางตลอดเวลา แต่ก็แบ่งเวลาไปช่วยมูลนิธิ Wishing Well เป็นมูลนิธิสำหรับเด็กที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ทำให้ชีวิตช่วงที่เหลืออยู่ของเด็กๆ เหล่านั้น มีความสุขที่สุด

พอได้ไปทำงานใกล้ชิดกับเด็กที่ป่วยเหล่านี้นะคะ เห็นได้เลยว่าปัญหาของเรานี่มันน้อยนิดจริงๆ เพราะมีปัญหาเดี๋ยวก็หาย แต่ปัญหาของน้องที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายน่ะ ไม่มีทางหายได้เลยค่ะ น้องๆ พวกนี้ mature มาก ไม่เคยงอแงอะไรเลย ไม่โกรธกับเรื่องเล็กน้อย เพราะเค้ารู้ว่าเค้ามีเวลาน้อย ต้องทำทุกเวลาให้มีความสุขที่สุด

น้องบางคน ความสุขของเค้าคือ แค่ได้กินพิซซ่า ก็มีความสุขแล้ว... มีน้องที่ใกล้จะไปแล้ว ขอกินพิซซ่า เราก็จัดหามาทำปาร์ตี้พิซซ่าให้ในโรงพยาบาล ให้เพื่อนๆ และญาตอของน้องกินด้วย น้องคนนั้นมีความสุขมากจนลืมความปวดจากโรคมะเร็ง น้องหลับไปพร้อมรอยยิ้ม และไม่ตื่นมาอีก...

เห็นแล้วก็ซึ้ง แล้วก็ย้อนมาดูตัวเองค่ะ ว่าทำไมต้องอยากมี อยากได้อะไรมากมาย (โดยเฉพาะกระเป๋า ฮี่ ฮี่ ฮี่... :D เอ้ย นอกเรื่อง!) ได้เข้าใจการอยู่อย่างพอเพียงอย่างแท้จริงค่ะ
ป.ล.ถ้าใครสนใจจะไปช่วยมูลนิธิ ติดต่อมาทางพีเอ็มนะคะ แต่ทางมูลนิธิไม่ได้รับทุกคนนะคะ ต้องไปสัมภาษณ์ให้ผ่านก่อน จึงจะไปเป็นอาสาสมัครได้ค่ะ
barumbum
#18
authentic_only
#19
เป็นกำลังใจให้ จขกท ค่ะ

ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องธรรมะมากนัก แต่คิดว่าทุกอย่างต้องเดินทางสายกลาง
ซึ่งทางสายกลางของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีกค่ะ


อยากส่งต่อ เรื่อง ลิงกำถั่ว/ถั่วในกำมือลิง ค่ะ

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า.....จิตของคนเรานั้น เหมือนกับลิง
เราจึงเรียนรู้เรื่องของจิตใจของเราได้มากมายจากพฤติกรรมของลิง
ลิงนั้นเกลียดกะปิ ถ้ากะปิถูกมือมันเมื่อใด
มันจะถูนิ้วกับพื้นจนเลือดไหลเต็มมือจนกว่ากลิ่นกะปิจะหายในที่สุด
จนกลายเป็นว่า “กะปิ” ถึงจะร้าย ก็ไม่ร้ายเท่า “ความเกลียดกะปิ”
ที่มือลิงเป็นแผลเหวอะหวะ ไม่ใช่เพราะกะปิ
หากเป็นเพราะความจงเกลียดจงชังกะปิต่างหาก

สิ่งที่เราเกลียดนั้น บ่อยครั้งไม่น่ากลัวเท่ากับความเกลียดชังในจิตใจเรา
ความเกลียดชัง หรือพูดให้ถูกก็คือความรู้สึกอยากผลักไส
ซึ่งรวมทั้งความโกรธและความกลัว
แต่นั่นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความจริงเท่านั้น
นอกจากความอยากผลักไสแล้ว ความยึดติดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องระวังไม่แพ้กัน

กลับมาที่ลิงจอมซนอีกที
ในอินเดีย ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้าน
เพราะชอบขโมยผลไม้ในสวน ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง
โดยใช้กล่องไม้ (บางเรื่องเล่าว่าเป็น กะลามะพร้าวที่เจาะรูเล็กๆ)
ซึ่งมีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้
ในกล่องมีถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิง วางไว้เป็นเหยื่อล่อ
วันดีคืนดี ลิงมาที่สวน เห็นถั่วอยู่ในกล่อง ก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว
แต่พอถอนมือออกมาก็ติดฝากล่อง
เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้
ลิงพยายามดึงมือเท่าไรก็ไม่ออก
พอชาวบ้านมาจับ ก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้
เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียว สุดท้ายก็ถูกคนจับได้

ลิงหาได้เฉลียวใจไม่ว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้น
มันก็เอาตัวรอดได้ แต่เพราะยึดถั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย จึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก


มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เราใฝ่ฝันอยากได้ จนถึงกับยึดไว้อย่างเหนียวแน่น
เวลาประสบปัญหา เพียงแค่คลายสิ่งที่ติดยึดนั้นเสียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลาย
แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย
จึงเกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย..ไม่คุ้มกับสิ่งที่ติดยึด


ปัญหาทั้งหลายในชีวิตนั้น ถ้าเรารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง มันก็จะบรรเทาไปได้เยอะ
บ่อยครั้งการปล่อยวางไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น
หากแต่เป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียว
ความจริงการอยากผลักไสอะไรสักอย่าง ก็เป็นการติดยึดอีกแบบหนึ่ง


ทั้งๆ ที่ลิงพยายามถูกำจัดกลิ่นกะปิไปจากมือ
ก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือมาดมหากลิ่นกะปิซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในหลายๆกรณี ความทุกข์ไม่ได้มาจากไหน
หากมาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อย
ดั่งเจ้าลิงหวงถั่ว
srichardson
#20
น้องเค้าหายไปไหนแล้วเนี้ย ป่านนี้จะเป็นยังงัยบ้างหนอ สบายใจขึ้นหรือยังจ้ะ :rolleyes:
ดูกระทู้ทั้งหมดในชุมชน จาก  Downtown ดูกระทู้ในหมวด ดูกระทู้ในหมวดย่อย
กระทู้แนะนำจากการคัดเลือกอัตโนมัติ
1
2
3