กระแสกำลังมาแรงกับเหรียญ Cryptocurrency(BitCoin) มาทำความรู้จักและหาความรู้กันว่ามันคืออะไร
โดย sukanda727
sukanda727
#1

Cryptocurrency คืออะไร https://goo.gl/CdhVCn

Cryptocurrency มันคือ สกุลเงิน digital ที่เกิดขึ้นมาในโลกยุคใหม่ หลายคนอาจจะรู้จักในชื่อ เหรียญ BitCoin บางคนอาจจะคิดว่า มันคือตัวเดียวกัน ก็ถือว่าถูกแต่ไม่หมด โดยเหรียญ Cryptocurrency นั้นมีหลายสกุลเหรียญมากมาย ที่เกิดขึ้นมาในโลกใบนี้

แล้ว BitCoin มันคืออะไรล่ะ

มันคือ สกุลเงิน Digital & Fintech ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
Bitcoin หรือเรียกย่อว่า BTC เป็นสกุลเงิน Digital สกุลแรกๆ ที่เกิดขึ้นมาโลกนี้ โดยใช้ Technology ที่เรียกว่า Blockchain
นอกจาก Bitcoin แล้ว ก็ยังมี สกุลเงิน Digital หรือ Cyptocurency อื่นอีกหลายตัว ที่เราเรียกรวมๆกันว่า Alt Coin
Bitcoin ถือกำเนิดมาโดย บุคคล หรือกลุ่มบุคคล ที่ไม่เปิดเผยตัวตน แต่ ได้รับการเรียกกันในนาม Satoshi Nakamoto โดยกำเนิดมาได้ ถึงวันนี้ราวๆ 12 ปีแล้ว
เมื่อตอนเริ่มต้นมันเหมือนเงินเกมส์ ของเด็กเล่น ที่ไม่มีใครสนใจ เมื่อตอนเปิดตัวใหม่ มันแทบไร้ค่า
ว่ากันว่า ในยุคเริ่มต้น โปรแกรมเมอร์ **กัน คนนึง ประเดิมใช้จ่ายเงิน ชำระค่าสินค้า ด้วย BTC ที่ขุดมา 10,000 Coin เพื่อจ่ายค่าพิซซ่า 2 ถาด
อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันนี้ 1 BTC = ุ60000 US $ เกือบๆ 2 ล้านบาทไทย 10000BTC ก็คือ ราวๆ เกือบ 600,000,000 US $ หรือราวๆ สองหมื่นล้านบาทไทย พิซซ่า 2 ถาดนั้น เลยมีราคาตกถาดละ 10000 ล้าน บาทไทย กลายเป็นกระทู้ ในตำนานของ Bitcoin Forum ไปเลย

หลายคนกลัวว่า ในเมื่อมันเป็นเงิน ดิจิตัลเสกมาจาก อากาศ มันจับต้อง ตัวตนไม่ได้ อย่างนี้ คนคิด จะเสกผลิต เข้ามาในระบบเท่าไรก็ได้ งั้นต่อไป มันก็ต้องเฟ้อแน่นอน จริงมั้ย ???
คำตอบคือไม่จริง
Bitcoin ในโลกนี้ ถูกอุปมาให้เหมือนกับทองคำที่หายาก และมีให้ ขุดค้นหา ได้ไม่เกิน 21 ล้าน coin หรือ 21 ล้าน BTC เท่านั้น
โดย Satoshi ผู้คิดค้น เค้ากำหนด โปรแกรม หรือ Algorithm ที่ตายตัวแก้ไขไม่ได้ ให้ Bitจะถูกปล่อย หรือ ถูกขุดออกมาหมุนเวียน ในโลกนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย โดนเพิ่มเร็วในระยะแรก เหมือนทองคำที่
หาง่าย แต่จะค่อยๆลดลง ไปเรื่อย จนในที่สุดก็หมด เหมือนทองที่หมดจากโลก ไม่สามารถ ขุดสร้างเพิ่ม เข้ามาได้อีกแล้ว ได้แต่ใช้หมุนเวียน แค่ที่มี 21 ล้าน BTC กันตลอดไป
ซึ่งจากการคำนวน coin จะออกมาหมุนเวียนครบ 21 ล้าน หรือหมดไม่มีให้ขุดเพิ่มในปีประมาณ 2140

1 BTC หรือ 1 Bitcoin มีหน่วยย่อยของมัน เรียกว่า Satoshi ตามชื่อคนคิดค้น

โดย 1 BTC =100,000,000 (หนึ่งร้อยล้าน) satoshi ดังนั้น ไม่ต้องห่วง ในโลกนี้ มี Bitcoin แค่ 21 ล้าน (21,000,000) BTC เท่านั้น


Bitcoin หากจะให้เข้าใจง่ายกว่านั้นอีก ก็ขอให้คิดว่า Bitcoin นั้นเปรียบเสมือน "เหรียญทองคำ" หรือคือทองคำในยุคดิจิตอลนั้นเอง

Bitcoin ถือเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งที่เราสามารถใช้เงินซื้อมาได้ และมีการขึ้นการลงของราคาตามตลาด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าในขณะนั้น 1 Bitcoin มีมูลค่าเท่ากับ 100,000 บาท เราก็สามารถกำเงิน 100,000 บาท เข้าไปซื้อ Bitcoin จากเว็บที่เปิดให้เราสามารถซื้อได้ และเราก็จะได้ Bitcoin มาประดับกระเป๋าตังค์(ที่จับต้องไม่ได้)ทันที

และถ้าปล่อยไปสักพักนึงราคา Bitcoin อาจจะขึ้นเป็น 200,000 บาท เราก็สามารถเอา Bitcoin ที่เราถือไว้ไปขายและได้เงินมา 200,000 บาทออกมาใช้ได้

เห็นมะ เหมือนทองคำป่ะ

ดังนั้นเวลาเห็นมีคนบอกว่า ของชิ้นนี้ราคา 2 Bitcoin นะ ก็อารมณ์คล้ายๆกับมีป้ายราคาติดไว้ว่าคุณสามารถซื้อของชิ้นนี้ด้วยทอง 2 บาทนะ (แต่ไม่ได้แปลว่า 1 Bitcoin จะราคาเท่ากับทอง 1 บาทนะ อันนี้เทียบให้ดูเฉยๆว่ามันอยู่ในรูปแบบลักษณะเดียวกัน)



Bitcoin ไม่ได้เหมือนทองแค่เรื่องนี้ ยังมีเรื่องอื่นอีก

พูดแบบนี้แล้วน่าจะเข้าใจถึงตัวตน Bitcoin ได้ง่ายมาก สรุปแบบเบื้องต้นเลยมันก็คือสกุลเงินแบบนึงนี่แหละ เพียงแต่เงินในรูปแบบ Bitcoin จะไม่สามารถจับต้องได้ ไม่มีเหรียญเป็นชิ้นเป็นอันให้เราถือ ทุกอย่างจะอยู่ในรูปแบบดิจิตอล


นอกจาก Bitcoin แล้ว สกุลเงิน Crytocurrency อื่นๆ เกิดขึ้น มาอีกหลายสกุล เช่น ETH หรือ Ethereum ซึ่งได้ยักษ์ใหญ่ ไมโครซอฟท์หนุนหลังสนับสนุน และ นอกจากจะโอนเงินแล้ว ยังมีการใส่ Smart contact หรือ แนบข้อมูลเอกสาร ต่างๆ และยืนตันรายการต่างๆแนบไปกับการโอนเงินได้ ด้วยทันสมัยกันไปใหญ่

หรือ Zerocash หรือ Zcash หรือ ZEC ซึ่งใช้ อัลกอริ่ทึ่มในการ จ่ายเงินเข้าสู่ระบบคล้ายกับ Bitcoin และจำกัดจำนวนไว้ 21 ล้าน Coin เช่นกันโดย ทำ block ไวกว่าทุก 2.5 นาที แต่จ่ายเงินต่อบล็อคน้อยลง ทำให้โอนเงินได้ไวกว่า และมีการเข้ารหัส ปกปิดชื่อคนโอน และรับเงินได้ ทำให้ปิดข้อด้อยของ Bitcoin ไปได้อีกหน่อย แต่ใช้การถอดรหัสคนล่ะแบบ

หรือยังมีอีกหลายค่ายที่ กำลังทำออกมา และได้รับความนิยม

เป็นที่น่าห่วงเหมือนกัน ว่า Bitcoin ที่ออกมาก่อน และ ล็อคอัลกอลิธึ่มตัวเองในการทำรายการไว้แบบนั้นแล้ว จะถูก พวกน้องใหม่รุ่นหลังๆ แก้ไขปรับปรุง แล้วล้มแช้มป์พี่ใหญ่ เหมือนที่ Yahoo โดน Google และ Face Book น็อคไปแล้ว หรือป่าว

ถามว่า ถ้าเราต้องการจะครอบครองเงิน BitCoin หรือ All Coin ต่างๆต้องทำอย่างไร
วิธีการได้เหรียญ BitCoin และ All Coin ต่างๆ ก็แบ่งเป็น 3 แบบใหญ่คือ

1. ขุดเอง ( Miner ) ด้วยเครื่องขุด มีทั้งการใช้ VGA Card หรือที่เรียกว่าการ์ดเกมส์คอม หรือการ์ดจอ หรือเครื่องขุดเฉพาะที่เรียกว่า Asic
2. ขุดผ่านเว็ป CloudMining ซึ่งเป็นการซื้อกำลังขุดจาก web ที่เปิดให้บริการ
3. จากการ Trade หรือการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหมือน Forex


จากข้อ 1
Miner คืออะไร
คือผู้ยืนยันความถูกต้องของ Transaction ใน BlockChain ( ซึ่งเป็นระบบที่อยู่เบื้องหลัง BitCoin ในการทำธุรกรรมต่างๆ เช่น โอน ฝาก ถอน ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน )


ทุกการทำธุรกรรมของ BitCoin จะถูกเก็บไว้ใน BlockChain เช่น A โอน 1 BitCoin ให้ B ก็จะเกิด 1 ธุรกรรมการโอนเกิดขึ้นหรือเกิด 1 Transaction คนที่จะยืนยันความถูกต้องของการโอน ก็คือ Miner นั้นเอง

ลองเปรียบเทียบกับระบบการโอน ฝาก ถอน ระบบเงินบาทในปัจจุบัน เวลาเราจะเบิก ถอน ฝาก โอน จะมีคนกลางคอยทำธุรกรรมเหล่านี้ นั้นก็คือธนาคารนั้นเอง เป็นระบบรวมศูนย์กลาง ทีมีคนจัดการเพียงคนเดียว โดยธนาคารก็จะเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่างๆ แต่กับระบบ BlockChain ของ BitCoin ซึ่งเป็นแบบกระจายนี้ ทุกคนต่างถือบัญชีธุรกรรมเหรียญ BitCoin ของกันและกัน แล้วใครหละจะเห็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องให้เรา?

คำตอบคือ ... ก็หนึ่งในคนที่ใช้บริการอยู่นั่นแหละ ที่ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนตั้งตัวเป็นผู้ตรวจสอบ ยกตัวอย่างเช่น A เสนอตัวจะเป็นผู้ตรวจสอบให้ และผู้ตรวจสอบเหล่านี้เราจะเรียกว่า Miner กันครับ


สำหรับการยืนยันว่า Transaction นั้นถูกต้องมั้ย ต่อให้ใช้คอมพิวเตอร์กากๆที่บ้านก็ใช้เวลาไม่เกิน 1 วินาทีหรอก ระบบ Blockchain ก็เลยตั้งโจทย์พิเศษขึ้นมาให้แก้หนึ่งตัว เป็นโจทย์ที่แก้ไขไม่ได้ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ วิธีเดียวที่จะทำได้คือ "ต้องลองไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอคำตอบ"

โจทย์ที่ว่านี้เป็นโจทย์ทางคอมพิวเตอร์ แต่ถ้าจะให้เทียบก็คงเหมือนกับบอกว่า "เอาตึกไปคนล่ะ 1 ตึกขนาด 50 ชั้น แล้วจงไปหาขวดน้ำ 1 ใบที่ซ่อนอยู่ในตึก 50 ชั้น ใครหาเจอก่อนคนนั้นชนะไป"


วิธีเดียวที่จะหาขวดน้ำที่ซ่อนอยู่ในตึกแห่งนี้นั้น ก็ต้องไล่หามันไปที่ละชั้น มันก็เลยเหมือนกับการจับฉลากลอตเตอรี่ บางคนอาจจะใช้เวลาเป็นสิบนาทีเป็นชั่วโมง เป็นวันๆ ในการหาเจอ บางคนอาจจะใช้เวลาแค่ 3 นาทีก็เจอแล้ว

แล้วจะทำยังไงให้หาได้เร็วขึ้น ? ก็ต้องจ้างคนมาช่วยหามากขึ้น จะได้เพิ่มความเร็วในการหาเจอไง

และนี่แหละครับ Proof of Work การให้งานที่ต้องใช้เวลาในการทำและถ้าต้องการให้งานเสร็จเร็วขึ้น ก็ต้องลงทุนเพิ่มขึ้น



แล้ว Miner ได้อะไร?



ก็จะเห็นว่า Miner จะต้องทำงานหนักสาหัสสากรรจ์เพื่อให้ยืนยันสำเร็จ วิ่งขึ้นไปหาขวดน้ำบนตึกกัน แถมยังต้องจ้างคนมาช่วยกันหาอีก ทำไปเพื่ออะร๊ายยยย

ดังนั้น Miner จึงควรได้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสมครับ ไม่งั้นก็ไม่มีคนยืนยันให้เรานะ ต้องจ่ายให้เค้านิดนึง โดยเราจะเรียกผลตอบแทนว่า Reward ซึ่งในระบบทั่วไปเราจะให้รางวัล Miner เป็น Transaction fee ครับ ก็คือคนโอนจะต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียมการโอนเพิ่มเติม โดยแล้วแต่เลยว่าจะคิดค่าธรรมเนียมกันยังไง เช่น Fix ไปเลยว่าต้องจ่ายเท่าไหร่จนไปถึงคิดเป็น % จากยอดโอน โดยส่งให้กับ Miner ผู้ที่ยืนยันสำเร็จครับ

ส่วน Miner ที่ยืนยันไม่สำเร็จหาเข็มเจอช้ากว่าคนอื่นเค้าก็ ... เหนื่อยฟรีไปจ่ะ



ส่วนในข้อ 2 คือ การขุดผ่านเว็ป CloudMining ซึ่งที่จะแนะนำเป็นแบบเว็ปสมัครฟรี ไม่ต้องลงทุน แต่ต้องลงแรงในการกดรับ Faucet ต่างๆ เพื่อนำไปแลกกำลังขุด หรือบางเว็ปแจกกำลังขุดฟรีๆ บางเว็ปอาจจะต้องลงทุน ข้อดีของเว็ป CloudMining คือ เราไม่ต้องลงทุนอะไรเพียงแต่ต้องลงแรง ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องต้นทุน อุปกรณ์ ค่าดูแลบำรุงรักษา หรือค่าไฟ ต่างๆ แต่ความเสี่ยงคือเสี่ยงที่เว็ปจะปิดตัวลงนั้นเอง แต่ในเมื่อเราไม่ได้ลงทุนซื้อกำลังขุดด้วยเงินจริง ความเสี่ยงจึงน้อยลงนั้นเอง

ซึ่งถ้าใครจะซื้อการ์ดจอขุดเอง ในเวลานี้กำตังค์ไปซื้อการ์ดจอ นอกจากจะช็อคราคาการ์ดจอที่ขึ้นเกือบ 100% จากต้นปีแล้ว บางร้านนิ กำตังค์ไปก็ซื้อไม่ได้เพราะของไม่มี
แต่ตอนนี้จะลงทุนเสี่ยงก็ความเสี่ยงสูงมาก เพราะคนลงทุนขุดกันเยอะ ค่า Diff ขึ้น ราคาการ์ดจอต้นทุนสูงขึ้น ไหนจะค่าไฟอีก อัตราคุ้มทุนยิ่งห่างไปอีก จากเดิม 3-4 เดือน อาจจะเพิ่มเป็น 10-12 เดือนเลยทีเดียว

ณ เวลานี้ ถ้าใครอ่านบทความนี้จนจบและสนใจขึ้นมาจริงๆ ลองเข้าไปที่

Link --> https://goo.gl/CdhVCn

บทความด้านบนหลายๆตัว ซึ่งสอนทั้งวิธีการ ซื้อขาย การสมัคร Web Exchange ในไทย ยืนยันตัวตน KYC , ฝากเงินถอนเงินสด ต่างๆ รวมทั้งการขุดด้วยคอมบ้านๆ ขุดด้วยมือถือ หรือจะขุดผ่านการเช่า CloudServer หรือที่เรียกว่า CloudMining , หรือจะผันตัวไปสาย Trade ก็สุดแท้แต่ ก็ลองดูกันนะ

Link --> https://goo.gl/CdhVCn

ยิ่งช้า ก็ยิ่งปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป ซึ่งตอนนี้ถือได้ว่าเป็นขาขึ้นเต็มตัวแล้ว
ไม่จำเป็นต้องลงทุนขุดก็ได้ ลงแรงก็ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งเช่นกัน หรือใครคิดว่า ยุ่งยากในการขุด ก็ยังสามารถ Trade ซื้อขายเก็งกำไรได้ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างง่ายๆ นั้นก็คือ เมื่อช่วงกลางเดือน มีนาคม 2019 ราคาเหรียญ 1 BTC มีราคาแค่ 100,000 ( หนึ่งแสนบาท ) เพียงเท่านั้น
แต่มา ณ วันนี้ 1 BTC มีราคาพุ่งขึ้นมาถึง 2,005,000 ( สอนล้านห้าหมื่นบาท ) นั้นหมายถึง คุณลงทุน 1 หมื่นบาท ในการซื้อเหรียญ BTC เพื่อครอบครองมันไว้ ถ้านำมาขายตอนนี้ จะสามารถขายได้ถึง 200,500 ( สองแสนห้าร้อยบาท ) นั้นเอง นั้นคือได้กำไร ถึง 190,500 ในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น มีการลงทุนตราสาร หุ้น ออมเงินชนิดไหนได้มากเท่านี้ คงยากแล้ว

หรือตัวอย่างล่าสุดที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์จริงๆกับ เหรียญ DogeCoin ที่ราคาตอนต้นเดือนมกราคา ปี 2021 ราคาเหรียญล่ะ 20 สตางค์ แต่มา ณ ปัจจุบันล่าสุด เดือนเมษายน ราคาขยับขึ้นเป็น 13 บาทต่อ 1 เหรียญ DogeCoin
หมายความว่า ถ้าเราลงทุนซื้อเหรียญ DogeCoin 1000 บาท ช่วงต้นมกราคมจะได้เหรียญ dogeCoin มาจำนวน 5000 เหรียญ DogeCoin เมื่อมาขาย ณ ปัจจุบันที่ราคาเหรียญ Dogecoin 13 บาท นั้นคือจะขายได้เท่ากับ 5000*13 = 65000 บาท นั้นเท่ากับ ลงทุนแค่ 1000 บาท ได้กำไรไปถึง 64000 บาท ในระยะเวลาแค่ 4 เดือนนั้นเอง
sukanda727
#2
ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าเป็นช่วงพักตัว ปรับฐาน หรือเรียกได้ว่า ช่วงตลาดซบเซา Bitcoin และเหรียญ CryptoCurrency หลายหรียญ เป็นช่วงขาลงสลับกับ Side Way แต่มีเด้งกลับขึ้นมาบ้างให้พอทำกำไรได้
แต่ช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้เก็บของ และรอดูเทรนกระทิงในช่วงสิ้นปีนี้กันต่อไป สำหรับคนที่สนใจ และคิดว่าเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้และเปิดรับสิ่งใหม่ ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง
ลองศึกษาได้ที่ Web ด้านล่างนี้เลยจ้า

https://goo.gl/CdhVCn


ราคา CryptoCurrency ณ วันนี้คือ

Bitcoin = 1,050,000 บาท
BNB = 9600 บาท
XRP = 20 บาท
LTC = 3900 บาท
ETH = 65,000 บาท
Doge Coin = 6.20 บาท
ดูกระทู้ทั้งหมดในชุมชน จาก  Downtown ดูกระทู้ในหมวด ดูกระทู้ในหมวดย่อย
กระทู้แนะนำจากการคัดเลือกอัตโนมัติ
1
2
3