สวัสดีครับ :D
ถ้าประเทศไทยวันนี้ เป็นบุคคลที่มีตัวตนเป็นคนจริง ๆ
เห็นอาการวันนี้ ก็ต้องเรียกว่าสาหัสและบานปลาย ด้วยโรครุมเร้ามากมายจริง ๆ นะคะ
อะไรจะรับวิบากพรวด ๆ ในคราวเดียวกันได้น่าเป็นห่วงขนาดนี้...
"วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์" ทำเอาบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัทในอเมริกา
พากันล้มละลายเป็นโดมิโน และเป็นโดมิโนที่เรายังเห็นล้มทับกันไม่สุดปลายแถวเสียด้วย
โรคร้ายนี้พลอยลุกลามมาถึงบ้านเรา ใครเป็นคนทำมาค้าขาย ก็จะเห็นต้นทุนเริ่มสูง
ยอดขายเริ่มตก ต่างประเทศลดการสั่งซื้อ ผลผลิตราคาตกต่ำ ค่าครองชีพสูง ฯลฯ
ตลาดทองคำผันผวนขึ้นลงมากมายในหนึ่งวันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ตลาดหุ้นรูดกราว มูลค่าหดฮวบ หน้ากระดานแดงเถือกเป็นประวัติการณ์
จนถึงกับต้องสั่งหยุดการซื้อขายชั่วคราว ๓๐ นาทีกันไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
ไม่พอ... เรายังผีซ้ำด้ำพลอยด้วย "วิกฤติการเมือง" ที่ทำเอาคนทั้งประเทศแตกแยก
พยาบาทชิงชัง แตกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย รุนแรงบานปลายจนถึงเลือดเนื้อและชีวิต
นักลงทุน พลอยเกิดความเชื่อมั่นสั่นคลอน นักท่องเที่ยว รักตัวกลัวตาย แห่กันยกเลิกที่พัก
กระเป๋าตังค์ที่รั่วอยู่แล้ว จึงท่าจะแห้งกว่าเดิมเพราะไม่มีเงินเข้าจากฤดูท่องเที่ยวเหมือนเคย
แถมยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ประชาชนก็ยิ่งเดือดร้อน ขโมยขโจรก็พลอยชุกชุมขึ้นไปอีก
และล่าสุด ก็มีเหตุให้กระทบกระทั่งกับเพื่อนบ้านเรื่องดินแดนกันเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
ลองหันไปฟังผลสำรวจของมหาวิทยาลัยเอแบค ที่เขาสำรวจกันมา
เมื่อช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม ๒๕๕๑ นี้ดูบ้าง ก็เห็นเขาบอกว่า
"คะแนนความสุขมวลรวม" ของคนไทย จากคะแนนเต็ม ๑๐ อยู่ที่ ๑.๙๘ เท่านั้นเองค่ะ
คุณผู้อ่านล่ะครับ... ช่วงที่ผ่านมาความสุขโดนกระทบกันไปมากน้อยแค่ไหน
ถ้าจะให้คะแนนความสุขกับชีวิตตัวเอง เต็ม ๑๐ คิดว่าอยู่ที่เท่าไหร่กันครับ?
หลายเรื่องในโลก ต่อให้เราเก่งกล้าแค่ไหน ก็เกินกว่ากำลังที่เราจะเข้าไปแก้ไขได้สิ้น
ถ้าความสุขของเรา แขวนไว้แต่กับโลกภายนอกจนเต็มเหนี่ยว
อยากจะให้มันสุข อยากจะให้มันดี อยู่อย่างนั้นเพียงฝ่ายเดียว
ไม่นาน เราก็คงไม่เหลือความสุขให้เก็บเกี่ยวในหัวใจอีกเลย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงความจริงอย่างหนึ่งไว้ตั้งสองพันกว่าปีมาแล้ว
และสิ่งนั้นก็ยังเป็นความจริงอยู่จนถึงวันนี้นะคะว่า
ที่จริงแล้ว โลกนี้มีธรรมชาติที่ตรงข้ามกันอยู่ ๘ อย่าง ๔ คู่
เป็นของมีประจำโลกที่หนีไม่พ้น ท่านเรียก โลกธรรม ๘ คือ
ได้ลาภ เสื่อมลาภ
ได้ยศ เสื่อมยศ
มีสรรเสริญ มีนินทา
มีสุข มีทุกข์
ใครได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้ความสุข ก็มีแต่ ความยินดี
หลงครอบครองด้วยความเผลอเพลิน หลงคิดว่าความน่ายินดีจะคงอยู่อย่างนี้ตลอดไป
ใครเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา เป็นทุกข์ ก็มีแต่ ความยินร้าย
ทนอยู่กับสภาพนั้นด้วยความไม่พอใจ ดิ้นรนแต่จะทำยังไงให้ผลักไสมันออกไปเร็ว ๆ
อยู่กับโลก อย่างไรก็ต้องถูกแกว่งไปแกว่งมากับของคู่กันสองด้านนี้ อย่างหนีไม่พ้น
เราจึงไม่เคยได้อะไรมาครอบครองจริง
และไม่เคยสูญเสียอะไรไปจริง...
ก็เมื่อสิ่งใดมีแต่ธรรมชาติแห่งความปรวนแปร
เราจะหวังยึดเหนี่ยวให้สิ่งนั้นเป็นเครื่องพึ่งพิงที่แท้ได้หรือ
เพียงแค่มองเห็นทุกสิ่งตามที่เป็น และยอมรับความจริงนี้ได้
ใจเราก็เบาคลายลงไปจากสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเกาะกุม คลายจากความคาดหวังอันหนักแน่น
อันเป็นเหตุของความทุกข์ไปได้ไม่น้อยแล้วนะคะ
แท้จริงแล้ว ลำพัง ลาภ ยศ อำนาจ ทรัพย์สิน ชื่อเสียง ฯลฯ
โดยตัวมันเอง ไม่ได้มีฤทธิ์ครอบงำผู้คนอะไรนัก
แต่ตัวการที่ทำให้เราถูกเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาจนบอบช้ำ เมื่อได้มาเสียไปนั้น
เป็นเพราะความ "หลง" เข้าไปยึดมั่นว่า มันเป็น "ตัวเรา ของเรา" ต่างหาก
ข้อมูลดี ๆจาก นิตยสาร ธรรมะใกล้ตัว 16 ต.ค. 51
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ...................................
อ่านทุกฉบับผ่าน website
http://dungtrin.com/mag
เสียงอ่านหนังสือธรรมะใกล้ตัว wma mp3
http://dungtrin.com/mag/sound.php?53