คำนำ
หลังจากดองไว้นาน ก็ได้โอกาสมารีวิวในช่วงที่กรุงเทพฯ ร้อนโค่ดๆ นะคะ หวังว่าทริปนี้จะช่วยให้คลายร้อยลงมาได้บ้าง ทั้งนี้ เนื่องจากว่าเป็นทริปที่ยาวจัด โก้เลยรวมๆ รูปมาอยู่ด้วยกัน ถ้าขนาดมันจะขัดใจท่านผู้ชมบ้าง ก็ขออภัยนะคะ เพราะซัดไปหลายพันกว่ารูป (แต่พอดูได้ก็แค่นี้แหละ ฮ่าๆ) ลงหมดคงตายกันไปข้างนึง
อนึ่ง หน้าโมก้าออกจะแก่ๆ ไปหน่อยนะคะ เพราะรีบแต่งหน้าก่อนไปเที่ยว กลับมาถึงได้มีเวลาค่อยๆ ทำจนเป็นหน้าที่เห็นใน Tea Party ค่ะ
Moka: คือมี๊บ่นว่าโมก้าแต่งหน้าแก่แดดอ่ะ รัยไม่รู้เนอะ ไม่ใจเด็กสมัยนี้เลย
ยังงัยก็ขอขอบคุณที่แวะมาเที่ยวไปด้วยกันนะคะ
ถึงมันจะเป็นทริปเก่าแต่ก็หวังว่าจะได้รับความบันเทิงไปไม่มากก็น้อยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามการท่องเที่ยวของโมก้าค่า ♥
ปีนี้มีทริปใหญ่ของที่บ้าน ไม่ใช่อะไรหรอก มันเป็นทริปที่ยาวที่สุด แล้วก็บินไกลที่สุด เพราะคราวนี้ จุดหมายอยู่ที่แคนาดา และอเมริกา นัยว่าเป็นการฉลองที่ไข้หวัดหมู H1N1 ที่ติดกันแสนง่ายดาย จนเป็นข่าวใหญ่ทั่วเอเชีย ทั้งๆ ที่ปัจจุบันสามารถรักษาได้ ไม่เหมือน HIV ซักหน่อย -"- แต่เพื่อความ trendy ครอบครัวเราก็เลยจะไปพิสูจน์ดูว่า มันจะติดง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ มันจะน่ากลัวขนาดผ้าปิดปากขายหมดเกาะสิงคโปร์ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศเลยหรือ
จริงๆ จุดประสงค์หลักคือไปงานแต่งงานลูกชายเพื่อนสนิทของครอบครัว ที่มีศักดิ์เป็น Canadian mom and dad ของโก้ โดยคุณแม่โก้ ก็มีศักดิ์เป็น Thai mom รวมถึงที่ตัวโก้เองก็เคยไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านเค้าที่แคนาดาระยะนึง เรียนร่วมกันมากับลูกชายคนโตด้วยแล้วก็ติดต่อกันมาตั้งแต่ป.หกนั่นเลย เมื่อลูกชายคนโตเค้าจะแต่งงาน ก็เลยเกิดทริปนี้ขึ้นมา ด้วยว่ามันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างทรหดของครอบครัว เลยรวบทุกอย่างที่อยากทำ ณ โลกซีกนั้นไว้ด้วยกันในทริปเดียว ทำให้ทริปมันยาวววว มากกกกกกก ก็ไหนๆ ต้องบิน 18 ชั่วโมงแล้ว เอาให้คุ้มว่างั้น
ส่วนหนึ่งในทริปคือ alaska cruise ก็อยากเป็นภูเขาน้ำแข็งมานานแล้ว อยากรู้ว่าไอ้ที่เค้าบอกกันว่า ลอย 1 ส่วน จม 9 ส่วน และมีสีสวยกว่าอัญมณีใดๆ มันเป็นยังงัย ก็เลยกระตือรือร้นกับทริปนี้มาก อีกอย่าง เป็นการไปกลับไปเยี่ยมเยือนซีกโลกนั้นหลังจากเวลาผ่านไปกว่าห้าปี คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย ... แต่ ที่ไม่ได้รู้เลยคือว่า ไอ้เจ้า iceberg ที่อยากเห็นนั้น มันไม่ได้อยู่ด้าน Alaska ไปคราวนี้ เลยเห็นแต่แผ่นน้ำแข็งเล็กๆ ลอยน้ำ กับ glacier ซึ่งก็คือผลึกฟอสซิลน้ำแข็งที่ยังคงแข็งข้ามผ่านกาลเวลามาให้เราได้ศึกษากันนั่นเอง ทั้งนี้ ทั้ง iceberg และ glacier รวมถึงน้ำแข็ง หิมะต่างๆ กำลังอยู่ในภาวะวิกฤตด้วยโลกร้อนขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรีบไปดู 555 เห็นว่าหลังจากทริปนี้ dad มีดำริว่าจะไปล่องเรือขั้วโลกใต้ ซึ่งจะใช้เวลาสองอาทิตย์ในภายภาคหน้า ... เอ่อ จากทริปนี้ อยู่บนเรือเจ็ดวันก็เบื่อจะแย่แล้ว อยู่สองอาทิตย์ สงสัยต้องขนอุปกรณ์สร้างความบันเทิงประกอบการเดินทางมาเยอะกว่านี้แหง๋มๆ
เกริ่นได้ยาวมาก เอาเป็นว่า ทริปนี้เป็นการล่องเรือ ที่เค้าเรียกกันว่า alaska cruise โดยปกติจะมีให้เลือกสามแบบคือ
1. ลงเรือที่ vancouver ค่อยๆ ล่องขึ้นไปจนถึง alaska
2. ลงเรือที่ alaska ค่อยๆ ล่องลงมาจนถึง vancouver
3. ลงเรือที่ไหนก็ได้ แล้วนั่งเป็น round trip ซึ่งจะใช้เวลาสองอาทิตย์ (ขาไป 7 วัน กลับอีก 7 วัน)
ที่ตกลงกันคือ แบบที่สอง บินไป alaska แล้วล่องลงมาที่ vancouver เพื่อที่จะได้ขับรถเทียวบริเวณเทือกเขาร๊อกกี้ ก่อนจะกลับ ontario นั่นเอง ตกลงจองตั๋วจัดการเรียบร้อย ก็พร้อมออกเดินทางได้
วันออกเดินทาง ตื่นกันตั้งกะตีสี่ เพราะเครื่องออกเจ็ดโมงเช้า คุณ mom สะลึมสะลือขึ้นมาส่ง แต่ไม่ได้มาด้วยเพราะติดงาน แต่เห็นคุณ dad บอกว่าไว้จะมาอีกรอบทีหลัง จากบ้านใช้เวลาเดินทางถึงสนามบิน toronto ชั่วโมงนึง ง่วงมากๆ จริงๆ ยังปรับเวลาไม่ค่อยได้ เพราะมาถึงก่อนจะเดินทางแค่ไม่กี่วัน แต่หลักๆ ก็คือจัดกระเป๋าดึกแล้วเลยนอนไม่พอนี่แหละ ตามเคย 555
มานั่งรอที่สนามบินไม่นานก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง ตอน board ก็ยังลัลล้าร์ด้วยฤทธิ์กาแฟสตาร์บัคส์ ขึ้นไปนั่งซักพักก็เริ่มง่วง แล้วก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมเครื่องมันไม่ขึ้นซะที แต่คิดเอาเองว่าเป็นเพราะเบลอๆ อาจจะสัณนิษฐานเวลาผิด หลับไปก็ตกใจตื่นเพราะทางกัปตันก็แจ้งว่าเครื่องมีปัญหากับการโหลดอาหารขึ้นเครื่อง จะ delay ยังไม่ทราบว่านานแค่ไหน จะแจ้งอีกที ได้ยินอาเฮียประกาศเลยขยับนาฬิกาดู เฮ้ยมันเกือบจะชั่วโมงแล้วนี่ เอางัยล่ะ ต้องไปต่อเครื่องที่ vancouver อีก มีเวลาต่อเครื่องชั่วโมงครึ่ง ไม่รวมต้องเอากระเป๋าออก ผ่าน US immigration, US custom โหลดกระเป๋าใหม่ แล้ววิ่งไปขึ้นเครื่องอีกนะ คราวนี้ตาค้างไม่ต้องพึ่งกาแฟ นั่งมองหน้ากันสี่คนเอางัยดี คุณแม่รีบเดินไปแจ้งคุณแอร์ว่า เอ่อขอโทษนะคะ ต้องไปต่อเครื่อง เพื่อจะไปลงเรือ ซึ่งเค้าเขียนไว้ชัดเจนว่า มาไม่ทันก็ไม่รอแล้วก็ไม่คืนเงินนะเออ เพราะท่าน...มาไม่ทันเอง เตรียมตัวไม่ดีเสียตังค์ฟรี แบร่ๆ (คือเค้าไม่ได้บอกงั้นหรอก แต่อารมณ์นั้นประมาณนี้เลย) คุณแอร์ก็บอกว่าไม่สามารถบอกให้รอได้นะคะ ยังงัยตอนนี้ไม่ทราบว่าจะไปทันหรือไม่ทัน ต้องรอเครื่องขึ้นก่อนถึงจะบอกได้
ผ่านไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมง ท่านนักบินก็ประกาศว่าขึ้นได้แล้วจ้า โอ้ววว เธอ delay ไปกว่าชั่วโมงครึ่งแล้ว ชั้นจะไปทันได้ยังงัย แต่ก็นะ ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่ -"- พอเครื่องขึ้น ท่านแม่ก็ไปถามคุณแอร์อีกทีว่า ติดต่อสนามบินทางโน้นได้มั้ย คุณแอร์ก็บอกว่าแจ้งแล้วแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ปกติถ้า delay โดยสภาพอากาศ เครื่องจะรอ แต่กรณีนี้รอหรือเปล่าก็ไม่รู้ อ้าว ไหง๋พูดงี้อ่ะ คุยไปคุยมาปรากฎว่ามีผู้ร่วมชะตากรรมอีก 7 ท่าน รวมเป็นทั้งหมด 11 ชีวิต ที่ต้องรีบไปลงเรือลำนี้ คราวนี้อำนาจต่อรองมาเต็มๆ ไม่ช่วยเจอ 11 คดีฟ้องแน่คุณสายการบิน ทางกัปตันกุลีกุจอติดต่อไปทางสนามบิน vancouver แล้วประกาศก่อนจะถึงสนามบินว่า เนื่องด้วยมีผู้โดยสาร 11 ท่านต้องทำการ transit ต่อไปยัง alaska ด่วน ขอความร่วมมือให้ 11 ท่านนี้ลงก่อน โดยทางสายการบินติดต่อ ground ไว้แล้ว ทุกท่านจะได้รับ express pass เผื่อผ่านด่านต่างๆ โดยไว และคุณได้รับสิทธิให้เครื่องบินลำต่อไปรอท่านเด๋วนี้!!! แต่ขอความกรุณาท่านวิ่งด้วย ... ^^" ได้ยินเช่นนี้ก็เย็นใจลง มีแก่ใจมองซ้ายมองขวาบ้าง หลังจากมองนาฬิกามาตลอดเที่ยวบิน เฮ้ออออ
มาถึงสนามบิน vancouver เหลือบดูนาฬิกา ได้เวลาเครื่องขึ้นพอดี รอตรูด้วยนะเฟร้ยยย (อันนี้นึกในใจ) พอเครื่อง land ปุ๊บ ไฟดับปั๊บ คนลุกพรึ่บ อ้าว ซะงั้น รีบกวาดของมองซ้ายมองขวาไม่ลืมอะไร รวบรวมทีมฟุตบอลสโมสร alaska cruise เบียดๆ ลงจากเครื่อง พร้อมๆ ตัวสำรองที่มาจากไหนไม่รู้แอบแจมลงมาด้วยเต็มไปหมด ลงมาถึงมีเจ้าหน้าที่เดินมาแจกป้าย express พร้อมแจงทางว่าให้ไปทางไหน ไอ้เราตัวบางๆ (กล้าพูดเนอะ) เดินไวๆ พอได้ เห็นคุณลุงคุณป้าแบกน้ำหนักและอายุแล้วต้องมาวิ่งสงสารไม่น้อย จะวิ่งไหวมั้ยเนี่ย รีบเดินไปตามทางที่เค้าบอก ไปถึงทางแยก เวรละ ไม่ได้บอกว่าให้เลี้ยวนี่หว่า ยืนคิดนิดนึงทีมตัวจริงวิ่งตรงต่อไปเรียบร้อยแล้ว ถึงกับต้องเป่านกหวีตปรี๊ด เรียกกลับมาบอกว่าพี่ขา ล้ำหน้าค่ะ พี่ไปยิงผิดประตูแล้วนะคะ เด๋วจะเสียทั้งแต้มทั้งทรัพย์ ก็เพราะป้ายบอกว่า us connection มันช่างเล็กเหลือหลายจริงๆ เดินตามควายไปอีกพักใหญ่ๆ ประมาณหนึ่งนาปรังก็เจอด่าน us immigration อ้าว มันต้องกรอกเข้าประเทศด้วยนี่ ทำไมบนเครื่องเค้าไม่แจกนะ พวก American กับ Canadian ก็สบายแฮ ข้าเจ้าต้องกรอกมือหงิก immigration บอกว่าไม่ต้องรีบ ยังงัยก็ไม่รีบตรวจอยู่แล้ว อ้าว มึนๆ งงๆ แต่ก็ผ่าน immigration ไป ต่อมารับกระเป๋ามาตรวจที่ custom แล้ว check-in ใหม่อีกที เจออีกหนึ่งปัญหา (นี่มันทริปต้องคำสาปหรือนี่!) กระเป๋าคุณ dad ไม่มาซะงั้น -"- ก็ check-in พร้อมกันทำไมสามคนมา อีกคนไม่มาฟระ ยืนมึนๆ งงๆ พักใหญ่ เค้าบอกว่าไม่ต้องห่วง กระเป๋าเค้าไม่ได้แน่ เด๋วทำเรื่องกระเป๋าหายก่อน ให้ไปต่อได้เลย เอาน่า dad ขายาวเด๋วก็ตามมาทัน วิ่งแบกของกันอย่างกับกำลังจะถึงเส้นชัยใน amazing race ตอนนั้นคิดในใจว่าน่าจะยัดเจ้าโมก้าใส่กระเป๋าเดินทางจะได้ไม่ต้องแบก ไปถึงเครื่อง board ปุ๊บ ได้รับสายตามาคุจากคนทั้งเครื่องปั๊บ แหง๋ล่ะ เค้าก็ต้อง delay ตามอีกเกือบสี่สิบห้านาที ยังงัยขึ้นมานั่งได้ก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว คุณ dad เดินตามมาติดๆ รอท่านอื่นๆ อีกสามสี่ท่าน แล้วเครื่องก็ออกได้ พร้อมทั้งคุณกัปตันขอบคุณผู้โดยสารท่านอื่นๆ ที่มีแก่ใจรอด้วยความสงบ
ขึ้นเครื่องได้ด้วยใจเบิกบาน และอาการหอบเล็กๆ เพราะนอนไม่พอ ไม่ได้ทานข้าวเช้า ออกกำลังกายด้วยภาวะจำยอม ทำให้น็อกไปเลยตั้งแต่เครื่องออก จน dad เคาะหัวเรียกขึ้นมาดูวิว โอ้วววว เค้าว่าโลกมันกลม มันกลมอย่างนี้นี่เอง เหมือนเห็นชั้นเมฆปกคลุมดูเป็นออร่าของโลก มีน้ำสีน้ำเงิน มีฟ้าสีฟ้า มีหิมะสีขาว... ไม่แปลกใจอีกแล้วว่า ที่เค้าบอกว่าโลกที่มองจากอวกาศสวยที่สุดมันเพราะอะไร นี่เห็นแค่เสี้ยวเดียวยังประทับใจขนาดนี้ ถ้าเห็นเต็มๆ จะซาบซึ้งใจขนาดไหน
เครื่องบินแล่นผ่านเทือกเขา rocky (rocky mountains หรือ the rockies) ในแคนาดา ซึ่งเป็นเทือกเขาที่น่าจะโด่งดังที่สุดของทวีปอเมริกาก็ว่าได้ เพราะยาวจากแคนาดาไปจนถึง new mexico เลยทีเดียวเชียว จากเครื่องมองเห็นเทือกเขาขาวโพลน ดูแล้วหนาวจับใจ เครื่องบินเลียบฝั่ง british columbia ไปเรื่อยๆ จนเข้าเขต alaska ก็ตรงที่เด๋วจะนั่งเรือกลับลงมานี่แหละ ได้เห็นธารน้ำแข็ง glacier ที่ทับถมผ่านกาลเวลา และค่อยๆ ไหลลงสู่ทะเล มองเห็นแผ่นน้ำแข็ง ทะเลสาบสี aquamarine ที่สดจนเหมือนไม่ใช่สีจากธรรมชาติ เป็นวิวทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเลย แม้ว่าจะเคยไปธิเบต บินผ่านเทือกเขาต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่เหมือน คุณพ่อหันมาบอกว่า ธรรมชาติช่างมหัศจรรย์นัก มนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว ทำไมถึงคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่รู้ แอบงง ไม่รู้จะมาไม้ไหน เลยทำเฉยๆ ถ่ายรูปต่อไปดีกว่า แหะๆ เด๋วเข้าตัว กลัวววววว
หลังจากนั่งไปสักพัก เริ่มรู้สึกว่ารูปมันเริ่มเยอะ แล้วสัญญาณก็เริ่มเตือนว่า แบตก้อนแรกจะหมดแล้วจ้า ก็เลยหยุดถ่ายรูปชั่วคราว หันมานอนต่อ จริงๆ ก็คือง่วงน่ะแหละ 555 จนได้ยินประกาศลดระดับ หันมาดูอีกที แอบแปลกใจ มา alaska ไม่ใช่หรอ ทำไมมันเขียวจัง???
dad อธิบายว่า มันก็เหมือนประเทศอื่นๆ น่ะแหละ ถึงส่วนใหญ่จะเป็นหิมะ เป็นน้ำแข็ง แต่บางส่วนก็เปลี่ยนแปลงตามฤดูของมัน ไม่งั้นคนจะอยู่ได้งัย อืมม ก็จริงนะ แต่ image ในหัวมันต้องขาวๆ อย่างเดียวเลยนี่นา ไม่คุ้นเลยแฮะ ^^"
ในที่สุดเครื่องก็ลงอย่างปลอดภัย ด้วยความสบายใจของทุกคน เพราะแปลว่าไม่ตกเรือแน่นอน แวะมาดูสนามบินนานาชาติ anchorage กันหน่อย ระหว่างรอลงจากเครื่อง มองไปข้างๆ เอ๊ะ สัญลักษณ์คุ้นๆ นั่นมันสายการบินประจำชาติเกาหลีนี่ มาทำอะไรแถวนี้ มาถึงนี่เชียว มองไปรอบๆ มีเครื่องคุ้นๆ หลายลำอยู่ มีการเฉลยให้ฟังว่า อย่าคิดว่าอยู่ไกลแล้วจะไม่มีคนมานะ สนามบินแห่งนี้ เป็นสนามบิน cargo ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเลยทีเดียว มีเครื่องขึ้นเครื่องลงถี่เป็นแมลงวัน ส่วนมากคือแวะมาเติมน้ำมันนั่นเอง เลยถึงบางอ้อว่า อยู่ซะเกือบสุดขอบโลก ทำไมมีสายการบินมากหน้าหลายตาจริงๆ
ลงจากเครื่องเรียบร้อย เดินไปรอกระเป๋า พบเจ้าหน้าที่จากเรือมารออยู่แล้ว บอกว่าจะไปเลยก็ได้ หรือจะเดินเล่นสนามบินก่อนก็ได้ เพราะจะมีรถมารับทุกๆ 1 ชั่วโมง จนรอบสุดท้ายห้าโมงเย็น (ตอนนั้นน่าจะประมาณเที่ยงหรือบ่ายโมงเห็นจะได้ ที่ alaska จะช้ากว่า toronto 4 ชั่วโมง) นึกในใจ ตื่นมาตั้งแต่ตีสี่ นี่ยังไม่ได้ทานข้าวเลย T^T จะตายมั้ยเนี่ย ในใจคิดแต่ว่าเรือมีข้าวฟรี 24 ชั่วโมง ต้องเอาให้คุ้ม... คุณพ่อหันมาส่ายหัว ยื่นคุ้กกี้มาให้หนึ่งอัน มองงงๆ ว่าเอามาจากไหน เลยเพิ่งรู้ว่า เค้าซื้อทานกันบนเครื่อง ที่ไม่รู้เพราะมัวแต่หลับ อ้าวววว ตอนตื่นก็ไม่ซื้อง่ะ จะรู้มั้ยเนี่ยว่าทานกันแล้ว โธ่ ยืนหม่ำๆ นิดนึงรอกระเป๋าพอเป็นพิธี ได้ครบสามคน รอลุ้นอีกใบ ไม่มีจริงๆ ด้วย คุณพนักงานต้อนรับบอกไม่ต้องห่วง เด๋วไปส่งให้บนเรือ ก็แอบมึนๆ นะว่า อยู่บนเรือมันจะส่งยังงัยหรอ แล้วคุณพนักงานก็ต้อนคุณผู้โดยสารไปขึ้นรถโค้ชคันใหญ่ พบว่านั่งกันเกือบเต็ม ในใจสงสัยว่า เรือนี้มันกี่คนหรอ รูปก็ไม่ได้ดู รายละเอียดก็ไม่ได้อ่าน ได้ใจว่ามากับคุณพ่อคุณแม่ เลยทำตัวเป็นง่อยได้สบายๆ ซะงั้น ^^"
พอคนขึ้นมาครบ ก็ได้ฤกษ์นั่งรถต่อไปขึ้นเรือกันซักที... แหม เดินทางมาตั้งนานยังไม่ลงเรือเลย แถมมีให้ลุ้นตลอด ทริปนี้จะมีสีสันเกินความจำเป็นหรือเปล่าเนี่ย!!!
ไว้มาลงต่อนะคะ อ่านหมดคราวเดียวเด๋วจะตาลายกันไปซะก่อน ^^