หลายๆ ท่านเมื่อเริ่มภาวนา อาจจะได้เห็นนิมิตต่างๆ มากมาย
บางท่านก็นึกว่าการได้เห็นนิมิตเหล่านั้น เป็นเครื่องแสดงว่าตนเองได้บรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว
ซึ่งความจริงแล้ว "ไม่ใช่"
เพื่อเป็นการแก้ข้อสงสัยต่างๆ และไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดในการนั่งสมาธิ
ผมจึงขอนำเรื่อง "นิมิตสมาธิ และวิธีแก้" ของพระอาจารย์ สิงห์ ขนฺตยาคโม(พระครูญาณวิศิษฐ์) และพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ที่ได้แสดงไว้เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๔ ดังต่อไปนี้ครับ
บัดนี้ จักได้แสดงเรื่องนิมิตในสมาธิภาวนาและเรื่องวิธีแก้นิมิต ต่อไป ฯ ในเบื้องต้นนี้ จะได้แสดงชื่อของนิมิตที่พระอนุรุทธาจารย์เจ้าได้แสดงไว้ในคัมภีร์พระอภิธัมมัตถะสังคหะว่า ตีณิ นิมิตฺตานิ แปลว่า ในพระสมถะกรรมฐานภาวนาประกอบด้วย นิมิตมี ๓ ประการ คือ
๑. บริกรรมนิมิต
๒. อุคหนิมิต
๓. ปฏิภาคนิมิต
นิมิตทั้ง ๓ ประการเหล่านี้ พระอนุรุทธาจารย์เจ้า แสดงไว้แล้วก็เป็นอันถูกต้องดีแล้ว คือ เป็นของมีจริงตามที่ท่านกล่าวไว้ทุกประการ นักปฏิบัติในพระพุทธศาสนานี้ โดยมากก็ถือเอาเป็นเครื่องรู้ เป็นเครื่องเล่น เป็นเครื่องพิจารณา แต่ผู้มุ่งโลกุตรธรรมเป็นเครื่องอยู่อันแท้จริงแล้วย่อมไม่ติดข้องอยู่ในนิมิตทั้งหลายเหล่านี้ คือ เมื่อเห็นแล้ว ก็แก้ไขให้หลุดพ้นผ่านไป ก้าวหน้าสู่โลกุตรธรรมอย่างเดียว
เรื่องนิมิตที่ปรากฏเห็น หรือบังเกิดขึ้นนั้น มีนัยดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ
๑. จิตในเวลานอนหลับ ก็บังเกิดนิมิตได้ เรียกว่า ฝัน
๒. จิตในเวลานั่งสมาธิ ก็บังเกิดนิมิต เรียกว่า นิมิตสมาธิ
ในที่นี้มีประสงค์ จะอธิบายเฉพาะแต่นิมิตสมาธิเท่านั้น เพื่อไม่ให้หลงไปตามนิมิต จะได้มีปัญญารู้เท่านิมิต และแก้นิมิตต่อไป
เรื่องนิมิตสมาธิ ในเวลานั่งสมาธิภาวนา จิตตกลงสู่ภวังค์แล้วเผลอสติบังเกิดนิมิตเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นก็มี หรือไม่เผลอสติ จิตเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปนาสมาธิ ย่อมมีนิมิตต่างๆ บังเกิดขึ้น ปรากฏเห็นชัดในจักขุทวาร มโนทวาร ฯ นักปฏิบัติบางจำพวก กระทำปุพพภาคแห่งการปฏิบัติเบื้องต้นไม่ถูกต้อง จะกระทำโลกุตระให้แจ้ง ก็ทำไม่ได้ เมื่อนั่งสมาธิภาวนา ได้แต่เพียงนิมิตสมาธิภาวนา คือได้เห็นนิมิตต่างๆ มาปรากฏในจักขุทวาร มโนทวารเท่านั้นก็ดีใจ บังเกิดถือทิฐิมานะว่าตนได้รู้ ได้เห็น และได้สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษชั้นนั้นๆ ไม่รู้เลยว่าตนเป็นผู้หลงติดข้องอยู่ในชั้นโลกีย์ ไม่ใช่ชั้นโลกุตระฯ นักปฏิบัติผู้ที่มีปุพพภาคแห่งการปฏิบัติเบื้องต้นได้กระทำถูกต้องแล้ว เมื่อนั่งสมาธิภาวนาจิตตกลงสู่ภวังค์ บังเกิดมีนิมิตขึ้นมาก็ดี หรือจิตเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปนาสมาธิ อันใดอันหนึ่ง บังเกิดมีนิมิตปรากฏเห็นชัดในจักขุทวาร มโนทวาร ย่อมไม่ดีใจ เสียใจ คือ ไม่ยินดี ยินร้าย ในนิมิตนั้นๆ ย่อมเป็นผู้มีสติทำจิตให้เป็นสมาธิตลอดไป ฯ
นิมิตบางประการ เมื่อบังเกิดขึ้นแล้ว เป็นอุบายให้ได้สติ มีปัญญา พาให้จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิเรียบร้อยดีก็มี ฯ แต่นิมิตบางประการ เป็นนิมิตที่น่ากลัวกระทำให้จิตหวาดเสียวตกใจกลัวก็มี ผู้ไม่มีสติอาจฟุ้งซ่าน เสียสติอารมณ์ก็เป็นได้ จึงขอเตือนสติไว้ในที่นี้ว่า ท่านผู้ปฏิบัติใหม่ทั้งหลาย พึงเป็นผู้มีสติ กำหนดจิตไว้ให้ดี อย่าตกใจกลัว และอย่าประหม่า กระดาก เก้อเขิน คืออย่าเป็นผู้กล้าหรือเป็นผู้กลัวจนเกินไป ถ้ากล้าเกินไป ก็ทำให้ใจฟุ้งซ่านได้ หรือกลัวเกินไป ก็ทำให้เสียสติอารมณ์ท้อถอยจากความเพียร ไม่อาจนั่งสมาธิภาวนาอีกได้ เพราะหลงนิมิตเท่านั้น ฯ
อนึ่ง นิมิตบางประการแสดงเรื่องมนุษย์ บางประการแสดงเรื่องสวรรค์ บางประการแสดงเรื่องพระนิพพาน นักปฏิบัติบางจำพวก ชอบเล่นนิมิตเกินไปก็หลงเพลินไปเที่ยวเล่นในมนุษยโลก และเที่ยวเล่นในสวรรค์ ตลอดเข้าสู่พระนิพพานตามอาการของนิมิตที่ปรากฏ จนสามารถพูดอวดได้ว่าตนได้สำเร็จสวรรค์ สำเร็จพระนิพพานไปแล้ว ครั้นออกจากสมาธิแล้ว ก็เปล่าๆ หาได้สำเร็จอะไรไม่ นี่แสดงว่านิมิตหลอกให้หลง ก็หลงตามจริงๆ ด้วย ความเข้าใจผิด เห็นผิดจากความจริงทุกประการตลอดไป ฯ
นักปฏิบัติในพระธรรมวินัยนี้ที่มุ่งโลกุตรธรรมจริงๆ ย่อมเป็นผู้ไม่หลงไปตามอาการของนิมิต เมื่อนิมิตบังเกิดขึ้น ย่อมมีสติพิจารณาให้รู้แจ้งว่า นิมิตนี้บังเกิดขึ้นจากเหตุแห่งคำบริกรรม เรียกว่า บริกรรมนิมิต และนิมิตนี้บังเกิดขึ้นเป็นอุบายให้มีสติ มีสมาธิยิ่งๆ ขึ้นไป เรียก อุคหนิมิต ทั้งอีกนิมิตนี้ บังเกิดขึ้นจากปฏิภาคการในร่างกายตัวเรา หรือภายในร่างกายของคนอื่น เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต ย่อมรู้รอบคอบตลอดทุกประการ
นิมิตที่ปรากฏเห็นดวงเดือน ดวงดาว ดวงอาทิตย์ หรือเห็นแสงสว่างภายในดวงใจของเรา นับเข้าในพวกอุคหนิมิต ไม่เป็นของที่น่ากลัว
นิมิตที่ปรากฏเห็นโครงกระดูกในร่างกายเรา หรือเห็นตัวของเราตาย เป็นซากศพ นอนกลิ้งอยู่ต่อหน้า ตลอดเห็นซากศพมนุษย์ทั้งหลายตายเต็มโลก นับเข้าเป็น ปฏิภาคนิมิต ผู้ไม่มีสติย่อมตกใจกลัว แต่ผู้มีสติ ย่อมไม่กลัว ยิ่งได้สติดีขึ้น คือได้ใช้เป็นอุบาย พิจารณาอสุภกรรมฐานแยกส่วน แบ่งส่วนซากศพนั้นออกดูให้ตลอดก่อน แล้วน้อมเข้ามาพิจารณาในร่างกายตน จนเห็นจริงแจ้งประจักษ์ แล้วพิจารณาร่างกายของบุคคลผู้อื่น ก็แลเห็นแจ้งแทงตลอดทุกประการ บังเกิดมีนิพพิทาญาณ เหนื่อยหน่ายสังเวชสลดใจ น้ำใจสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ดี สติก็มีกำลังดียิ่งขึ้น เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต
วิธีแก้นิมิตสมาธิ
เหตุจำเป็นที่จะต้องแก้นิมิตสมาธิ เพราะเหตุว่าเรื่องของนิมิตสมาธิทั้งหมด เป็นเรื่องของโลกีย์ ไม่ใช่โลกุตระ จัดว่าเป็นเบญจมาร ๕ ประการ คือ
กิเลสมาร ๑
เทวบุตรมาร ๑
ขันธมาร ๑
อภิสังขารมาร ๑
มัจจุมาร ๑
บันดลบันดาลให้บังเกิดมีนิมิตขึ้น หลอกล้อให้หลงติดข้องอยู่ในวัฏสงสารตลอดไป คือให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามประการ คือ กามภพ ๑ รูปภพ ๑ อรูปภพ ๑ นักปฏิบัติผู้ต้องการพ้นทุกข์ คือต้องการโลกุตระ ไม่ต้องการข้องอยู่ในวัฏสงสาร จึงจำเป็นต้องแก้นิมิตทั้ง ๓ ประการให้หลุดพ้นไป
บัดนี้จะกล่าววิธีแก้นิมิตตามหนทางพระพุทธศาสนาท่านสอนไว้มี ๓ ประการ
วิธีที่ ๑ เจริญญาตปริญญาวิธี แปลว่า ทำความกำหนดรู้ทั้งจิต ทั้งนิมิตอยู่เฉยๆ หรือมีสติกำหนดจิตนิ่งเฉยต่อนิมิต
วิธีที่ ๒ เจริญติรณะปริญญาวิธี แปลว่า พิจารณาตรวจค้นเหตุผลของนิมิตให้รอบคอบ
วิธีที่ ๓ เจริญปหานปริญญาวิธี คือสละลงซึ่งนิมิตนั้นให้ขาดหรือถอนตัณหาเสียทั้งโคน
ญาตปริญญาวิธี
เป็นวิธีที่นักปฏิบัติใหม่ทั้งหลายจำเป็นต้องใช้ประกอบกับภูมิจิตของตนที่ได้เจริญสมถกรรมฐานใหม่ๆ และได้ฝึกหัดสมาธิน้อย สติยังอ่อน ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับนิมิตทั้งปวงได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีที่ ๑ เจริญญาตปริญญาวิธี ทำความกำหนดรู้อยู่เฉยๆ หรือมีสติกำหนดจิตนิ่งเฉยต่อนิมิตนั้นๆ ทุกประการ
บัดนี้จะกล่าวถึงภูมิจิตแห่งนักปฏิบัติใหม่ที่ควรเจริญญาตปริญญาวิธี คือ เมื่อนักปฏิบัติใหม่ทั้งหลายได้เจริญสมถกรรมฐานใหม่ๆ และได้กระทำความเพียร นั่งสมาธิภาวนาใหม่ๆ ยังไม่ชำนาญคล่องแคล่วดีในวิถีหนทางโลกุตระ ในเวลานั่งสมาธิภาวนา จิตกำลังสงบตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิ แล้วกำลังก้าวหน้าเข้าสู่อัปนาสมาธิ บังเกิดมีนิมิตอันใดอัหนึ่งมาปรากฏเฉพาะหน้า ครั้นจะถือเอานิมิตนั้นเป็นอารมณ์ก็ถือเอาไม่ได้ เพราะเป็นเหตุให้เผลอสติ จิตนั้นก็ถอนจากสมาธิ นิมิตนั้นก็หายไป จำเป็นต้องเจริญญาตปริญญาวิธี คือมีสติกำหนดจิตทำความกำหนดรู้นิ่งเฉยอยู่ตลอดเวลา จนกว่านิมิตนั้นสงบหายไปเอง
ญาตปริญญาวิธีนี้ เป็นวิธีอบรมบ่มอินทรีย์ให้มีกำลังแก่กล้า คือทำให้จิตของเรามีความเชื่อมั่นและมีความเพียรมากขึ้น มีสติดีขึ้นตลอด ทำให้จิตตั้งมั่นแน่วแน่จริงๆ จนบังเกิดมีปัญญาเฉลียวฉลาดมากขึ้นโดยลำดับ ยิ่งมีนิมิตมาปรากฏบ่อยๆ และได้เจริญญาตปริญญาวิธีนี้บ่อยๆ ก็ยิ่งได้สติและมีปัญญาสามารถทำจิตให้เป็นสมาธิ ดำเนินตามหนทางอริยมรรคได้ดีมากขึ้นโดยรวดเร็ว ไม่ถอยหลัง
อนึ่ง ความรู้ความเห็นบางประการบังเกิดขึ้น แล้วกลายเป็น สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ความรู้ความเห็นเหล่านั้นไม่ใช่เป็นความรู้จริงเห็นจริงในพระธรรมวินัย เป็นความรู้ความเห็นที่เกิดจากความหวั่นไหวง่อนแง่นไปตามอารมณ์สัญญาและนึกเดา หรือคาดคะเนเอาจากนิมิตต่างๆ เนื่องด้วยเหตุนี้ เมื่อความรู้ความเห็นเกิดขึ้น อย่าพึ่งรู้หน้าเดียวเห็นหน้าเดียว ให้พึงเจริญญาตปริญญาวิธี ทำความเป็นผู้ไม่ยินดีและยินร้ายในความรู้ความเห็นเหล่านั้น
การเจริญญาตปริญญาวิธีมีอานิสงส์มากสามารถทรมานจิตให้ละพยศอันร้ายได้ คือในเมื่อไม่ยินดี ไม่ยินร้ายในความรู้ ความเห็น และในนิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดไม่ส่งจิตให้คิดไปตามเช่นนั้นแล้ว ตัณหา ความดิ้นรนกระวนกระวายย่อมบังเกิดมีขึ้น เป็นพยศอันร้ายแรงแห่งจิต คืออยากเห็นนิมิตนั้นแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น หรือมิฉะนั้นเมื่อได้เห็นซึ่งนิมิตที่น่ากลัว ก็อยากให้นิมิตที่น่ากลัวนั้นหายไป เมื่อนิมิตที่น่ากลัวนั้นไม่หายไปตามประสงค์ ก็บังเกิดความเสียใจ และร้อนใจ ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็นซึ่งนิมิตที่น่ากลัวนั้นเสียเลย ชื่อว่า พยศอันร้าย
ครั้นเมื่อจิตบังเกิดพยศอันร้ายดังกล่าวแล้ว ปฏิฆะกับความประมาทก็บังเกิดขึ้นพร้อม เป็นเหตุให้เสื่อมเสียศรัทธา ท้อถอยจากการปฏิบัติ ไม่บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญาก็เสื่อมจากทางมรรค ทางผล ทางสวรรค์ ทางนิพพาน ถ้าได้เจริญญาตปริญญาวิธีนี้เสมอ ก็สามารถทรมานซึ่งพยศอันร้ายแรงแห่งจิตให้หายได้ กับบังเกิดเป็นผู้มีสติดี กำหนดรู้ซึ่งจิต ทำความสงบนิ่งเฉยอยู่ได้ดี
เมื่อจิตสงบตั้งมั่นลงได้แล้ว ตัณหาทั้ง ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็สงบไปเอง คือ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย และไม่ทะเยอทะยานอยาก พร้อมทั้งความไม่อยากก็สงบระงับไปตามกัน กลับตั้งใจไว้ได้ในมัชฌิมาปฏิปทา คือตั้งใจไว้เป็นกลาง ไม่ตกใจกลัว และไม่กลัวเกินไป สม่ำเสมอ พอเหมาะพอดีเป็นหนึ่งอยู่ได้ ไม่เดือดร้อนในเรื่องนิมิตจะมีมา หรือไม่มีมา ก็แล้วแต่เหตุผล หรือมีมาแล้วจะหายไปหรือไม่หายไป ก็แล้วแต่เรื่องของเรื่อง
“สันทิฏฐิโก” เป็นผู้เห็นเอง
“อกาลิโก” ไม่เลือกกาล
“เอหิปัสสิโก” มีเครื่องแสดงบอกให้รู้เห็นตามเป็นจริงอยู่อย่างนั้น
“ปัจจัตตํ” รู้จำเพาะกับจิตตลอดไป
เมื่อทรมานจิตให้ละพยศอันร้ายได้แล้ว ย่อมบำเพ็ญสมาธิ ดำเนินตามหนทางอริยมรรคได้ดี คือ
๑. ทางดำเนินของสติ ก็ดำเนินได้สะดวกดีขึ้น
๒. ทางดำเนินของสัมปชัญญะ ก็ดำเนินได้สะดวกดีขึ้น
๓. ทางดำเนินของมัชฌิมาปฏิปทา ก็ดำเนินได้สะดวกดีขึ้น
๔. ทางดำเนินของทิฏฐุชุกรรม ก็ทำความเห็นซื่อตรงดีขึ้น
๕. ทางดำเนินแห่งการรวมจิต พร้อมทั้งสติสัมปชัญญะ ทั้งความเห็นก็รวมได้สะดวกดีขึ้น ชื่อว่าดำเนินอริยมรรคได้ดี เรียกว่าญาตปริญญาวิธี ด้วยประการฉะนี้
ติรณะปริญญาวิธี
แปลว่า ใคร่ครวญตรวจตรองเหตุผลแห่งนิมิต ในติรณะปริญญาวิธีที่ ๒ นี้ เป็นหน้าที่ของนักปฏิบัติชั้นสมถกรรมฐาน ผู้ชำนาญในญาตปริญญาวิธีมาแล้ว มีหน้าที่จำเป็นต้องเจริญติรณะปริญญาวิธีต่อไป ในขณะเมื่อเจริญติรณะปริญญาวิธีนั้น นักปฏิบัติผู้ชำนาญ ย่อมเจริญในเวลารวมจิตได้แล้ว และมีนิมิตมาปรากฏเฉพาะหน้า ก่อนแต่จะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน นักปฏิบัติผู้ชำนาญย่อมเจริญติรณะปริญญาวิธีให้ชำนาญก่อน คือ พิจารณาปฏิภาคนิมิตให้แตกฉาน ดังต่อไปนี้
ปฏิภาคนิมิตในที่นี้มี ๒ ประการ คือ
๑. ปฏิภาคนิมิตภายนอก ได้แก่ รูปร่างกายของมนุษย์ ภายนอกจากตัวของเรา
๒. ปฏิภาคนิมิตภายใน ได้แก่ รูปร่างกายของเราเอง
รวมปฏิภาคนิมิตมี ๒ ประการดังกล่าวนี้มีในตัวของมนุษย์ทุกคนตลอดโลก บังเกิดเป็นนิมิตปรากฏขึ้นในเวลานั่งสมาธิ เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต
นักปฏิบัติใหม่ทั้งหลายผู้ไม่ชำนาญ ก็รู้ไม่เท่า และแก้ไม่ได้ ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง เพราะเหตุว่า ตัวปฏิภาคนิมิตทั้งหมด เป็นตัวกองทุกข์ และอาสวะกองกิเลส
วิธีแก้ปฏิภาคนิมิต นักปฏิบัติผู้ชำนาญ ย่อมแก้ปฏิภาคนิมิตภายนอกก่อน คือในเมื่อเวลากำลังนั่งสมาธิภาวนา รวมจิตได้แล้ว บังเกิดเห็นนิมิตมาปรากฏต่อหน้า เป็นรูปมนุษย์ผู้หญิง หรือรูปมนุษย์ผู้ชาย เป็นรูปเด็กเล็ก หรือรูปหนุ่มสาว แสดงอาการแลบลิ้นปลิ้นตา หน้าบิดตาเบือน แปลกประหลาด น่าตกใจกลัว อาการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม หรือแสดงอาการให้เห็นเป็นรูปคนตายก็ตาม ฯ นักปฏิบัติผู้มีสติดี ย่อมพลิกจิตของตน ทวนกลับเข้ามาตั้งสติ กำหนดจิตไว้ให้ดี แล้ววิตกถามด้วยในใจว่า “รูปนี้เที่ยง หรือไม่เที่ยง จะแก่เฒ่าชรา ตายลงไปหรือไม่” เมื่อวิตกถามด้วยในใจดังนี้แล้ว พึงหยุดและวางคำที่นึกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิท นิ่งพิจารณาด้วยความวางเฉย จนได้ความรู้แจ้งขึ้นเอง ปรากฏเห็นชัดซึ่งรูปนิมิตนั้นไม่เที่ยง แก่เฒ่าชราไปเอง ตลอดจนเพ่งให้ตาย ก็ตายลงเอง ตามอาการที่วิตกในใจนั้นๆ ทุกประการ ต่อแต่นั้นจะวิตกในใจให้เห็นซึ่งรูปนิมิตที่ตายแล้ว เปื่อยเน่าตลอดจนแตกทำลาย กระจัดกระจายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ไปตามธรรมดา ธรรมธาตุ ธรรมฐิติ ธรรมนิยามย่อมได้ตามประสงค์ตลอดปลอดโปร่งทุกประการ เว้นแต่จิตถอนจากสมาธิแล้ว หรือนึกคาดคะเน หรือนึกเดาเอาเท่านั้น จึงไม่สำเร็จสมประสงค์ อันนักปฏิบัติผู้ชำนาญจริงแล้ว ย่อมไม่ใช้คาดคะเนและไม่นึกเดาเอา คือย่อมทำตามระเบียบวิธีที่ถูกต้องจริงๆ จึงสำเร็จตามประสงค์
วิธีแก้ปฏิภาคนิมิตภายใน
ในขณะเมื่อพิจารณาปฏิภาคนิมิตภายนอกได้ความชัดแล้ว ชื่อว่าแก้ปฏิภาคนิมิตภายนอกได้แล้ว อย่าหยุดเพียงแค่นั้น หรืออย่าพึงเป็นผู้ประมาททอดธุระเสีย ให้น้อมเอาจิตของตนทวนกระแสกลับเข้ามาพิจารณาภายในร่างกายของเราเอง ในเบื้องต้น ถ้าจิตของตนไม่ปลอดโปร่ง คือไม่แลเห็นร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง ให้พึงรวมเอาแต่จิตให้สนิทอยู่ก่อน เมื่อจิตของตนรวมสนิทดีแล้ว พึงใช้อุบายวิตกดังกล่าวแล้ว ในที่นี้ประสงค์ให้วิตกว่า ศีลของเราก็บริสุทธิ์ดีแล้ว สมาธิของเราก็ตั้งมั่นดีแล้ว เมื่อมีศีลก็ต้องมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็ต้องมีปัญญา บัดนี้มีศีล สมาธิ แล้วปัญญาเป็นอย่างไร เมื่อวิตกถามด้วยในใจดังนี้แล้วพึงหยุดและวางคำที่วิตกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นเอง ปรากฏเห็นชัดซึ่งผู้รู้ทั้งหลายมาชี้บอกว่า ทางนี้เป็นทางรัก ทางนี้เป็นทางเกลียด ทางนี้เป็นทางมัชฌิมาปฏิปทา พร้อมทั้งแลเห็นเป็นทางโปร่งโล่งทั้ง ๗ ทาง ในขณะเดียวกันก็รู้ชัดได้ว่า ปัญญาคือความเห็นชอบ พร้อมทั้งความรู้ก็รอบคอบด้วย ต่อแต่นั้น พึงวิตกถามถึงส่วนของร่างกายภายในร่างกายตนเองเป็นตอนๆ ไป ในตอนแรกพึงวิตกว่า ร่างกายของเราเป็นอย่างไร เที่ยงหรือไม่เที่ยง จะแก่เฒ่าชราและแตกทำลายเปื่อยเน่าลงไปเหมือนกันหรือไม่ เมื่อวิตกถามด้วยในใจเช่นนั้นแล้วพึงหยุด และวางคำวิตกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นเอง และแลเห็นชัดแจ้งประจักษ์ว่า ร่างกายของเรา แก่เฒ่าชราและล้มตายลงไปในปัจจุบันทันใจในขณะนั้นสำเร็จสมประสงค์ ตอนที่ ๒ พึงวิตกถามด้วยในใจว่า อาการ ๓๒ ภายในร่างกายเราส่วนไหนตั้งอยู่อย่างไร มีลักษณะอาการเป็นอย่างไร หทัยวัตถุอยู่ที่ไหน ครั้นเมื่อวิตกถามด้วยในใจดังนี้แล้ว พึงหยุด และวางคำวิตกนั้นเสีย กำหนดจิตให้รวมสนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่าได้ความรู้แจ้งขึ้นเองปรากฏเห็นชัด ซึ่งดวงหทัยวัตถุตั้งอยู่ทรวงอกข้างซ้ายมีรูปลักษณะคล้ายดอกบัวตูม มีหน้าที่ทำงานฉีดเลือดส่งไปเลี้ยงร่างกาย เมื่อเห็นเครื่องภายในก่อนดังนี้ พึงพิจารณาเครื่องภายในให้ตลอด คือ พิจารณาม้ามว่าตั้งอยู่ที่ไหน มีรูปลักษณะอาการเป็นอย่างไร ให้วิตกถามด้วยในใจ แล้ววางคำวิตกนั้นเสีย กำหนดจิตรวมให้สนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนกว่ารู้ขึ้นเองว่า ม้ามตั้งอยู่ข้างซ้ายของดวงหทัยวัตถุ มีรูปลักษณะคล้ายตับมีสีแดง ส่วนตับนั้น ตั้งอยู่ข้างขวาของดวงหทัยวัตถุ มีสีดำคล้ำ ปอดตั้งอยู่ทรวงอกเบื้องบน มีหน้าที่รับลมหายใจเข้าออก และส่งไปเลี้ยงร่างกายทั่วสรรพางค์กาย อันตัง ไส้ใหญ่ ต่อจากลำคอลงไป มีกระเพาะอาหาร สำหรับรับอาหารใหม่ ต่อจากกระเพาะอาหารใหม่ลงไป เรียกว่า ลำไส้ใหญ่ตั้งอยู่ในท้องของเรา เป็นเขตๆ มีไส้น้อยรัดรึงเรียกว่าสายรัดไส้ ต่อจากลำไส้ใหญ่ มีกระเพาะอาหารเก่า สำหรับรับกากของอาหาร ต่อจากกระเพาะอาหารเก่าลงไป เป็นทวารหนักสำหรับถ่ายอุจจาระ เมื่อเห็นแจ้งขึ้นเอง ซึ่งเครื่องภายในชัดเจนตลอดแล้ว พึงพิจารณาอาการ ๓๒ เป็นอนุโลม ปฏิโลม โดยปัจจัตตัง รู้จำเพาะกับจิต ไม่ใช่นึกไปตามตำราที่จำได้ นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมนึกวิตกถามผู้รู้ ในเวลานั่งสมาธิรวมจิตสนิทดีแล้ว มีสติกำหนดจิตได้แล้ว พึงวิตกถามด้วยในใจว่า
-เกสา แปลว่า ผม ตั้งอยู่ที่ไหน มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร เมื่อวิตกถามแล้ว พึงหยุดและวางคำถามนั้นเสีย มีสติ รวมจิตให้สนิทนิ่ง พิจารณาด้วยความวางเฉย จนปรากฏเห็นชัดขึ้นเองว่าผมอยู่บนศีรษะ มีสีดำคล้ำ รูปพรรณสัณฐานเป็นเส้นยาวๆ แก่แล้วหงอกขาว ตายแล้วลงถมแผ่นดิน
-โลมา แปลว่า ขน เกิดอยู่ตามขุมขน มีทั่วร่างกาย ครั้นเมื่อเราตาย ถมแผ่นพระธรณี
-นขา แปลว่า เล็บ มีอยู่ที่ปลายนิ้วทั้งเท้าทั้งมือ ทุกคนย่อมถือว่าเล็บของตนสิ้นชีพวายชนม์ลงถมแผ่นดิน
-ทันตา แปลว่า ฟัน ในปากของเรา ครั้นเมื่อแก่เฒ่า ฟันเราโยกคลอน หนักเข้าหลุดถอนลงถมแผ่นดิน
-ตโจ แปลว่า หนัง หุ้มร่างกายเรา ตายแล้วถูกเผา ถมแผ่นพระธรณี
ครั้นเมื่อพิจารณาปรากฏเห็นเอง แจ้งประจักษ์ใจตามความเป็นจริงในมูลกรรมฐานนี้แล้ว ชื่อว่าพิจารณาเป็นอนุโลม พึงพิจารณาย้อนกลับเป็นปฏิโลม กลับไปกลับมาให้ชำนาญดีแล้ว จึงพิจารณาเป็นลำดับต่อไปอีกว่า
-มังสัง แปลว่า เนื้อมีหนังหุ้มอยู่ จะแลดูด้วยตาย่อมไม่เห็น เมื่อเราจะพิจารณาดูซึ่งเนื้อ จำเป็นจะต้องถลกหนังนี้ออกให้หมดเสียก่อน จึงจะพิจารณาดูซึ่งเนื้อให้เห็นจริงแจ้งประจักษ์ได้ แต่จะต้องถลกออกด้วยอุบายปัญญา ครั้นพิจารณาเห็นดังนั้นแล้ว พึงทำในใจด้วยอุบายที่ชอบ คือ มีสติยกจิตขึ้นเพ่งให้หนังเลิกออกไป ตั้งแต่หนังศีรษะเป็นต้นไปโดยลำดับ ตลอดถึงหนังพื้นเท้าเป็นที่สุด เสร็จแล้วเอากองไว้ที่พื้นแผ่นดิน เมื่อพิจารณาให้หนังเลิกออกไปหมดแล้ว ก็แลเห็นกล้ามเนื้อเป็นกล้ามๆ ทั่วสรรพางค์กาย จึงตั้งสติ กลับจิตให้รวมสนิท แล้วยกจิตขึ้น เพ่งให้กล้ามเนื้อหลุดออกจากกระดูกหมดทุกกล้ามตลอดทั่วสรรพางค์กาย ตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดิน เมื่อกล้ามเนื้อหลุดออกจากโครงกระดูกหมดแล้ว ก็แลเห็นเส้นเอ็นอย่างกระจ่างแจ้ง ว่าเส้นเอ็นทั้งหลายรัดรึงโครงกระดูกให้ติดกันอยู่ได้ เมื่อจะพิจารณาให้ เส้นเอ็นหลุดจากโครงกระดูกนั้น จึงพลิกจิตให้กลับรวมสนิทดีแล้ว ยกจิตขึ้นเพ่งให้เส้นเอ็นทั้งหลายหลุดจากโครงกระดูกหมดทุกเส้น เมื่อเส้นเอ็นหลุดจากโครงกระดูกหมดแล้ว ก็แสดงให้แลเห็นโครงกระดูกได้อย่างกระจ่างแจ้ง ฯ เมื่อเห็นโครงกระดูกแจ่มแจ้ง แต่เครื่องภายในโครงกระดูกยังมีอยู่ พึงกระทำพิธีพิจารณาให้เครื่องภายในโครงกระดูกนั้นหลุดออกไปก่อนแล้วจึงพิจารณายกจิตขึ้นเพ่งให้โครงกระดูกหลุดออกเมื่อภายหลัง
วิธีพิจารณาให้เครื่องภายในหลุดออกจากโครงกระดูก ให้มีสติพลิกจิต กำหนดรวมจิตให้สนิทแน่วแน่ แล้วยกจิตขึ้นเพ่งให้เครื่องภายในหลุดออกจากโครงกระดูกทีละอย่างๆ คือ
เพ่งม้าม ให้ม้ามหลุดออกไป
เพ่งหทัยวัตถุ ให้หทัยวัตถุหลุดออกไป
เพ่งตับ ให้ตับหลุดออกไป
เพ่งพังผืด ให้พังผืดหลุดออกไป
เพ่งไต ให้ไตหลุดออกไป
เพ่งปอด ให้ปอดหลุดออกไป
เพ่งลำไส้ใหญ่ ให้ลำไส้ใหญ่หลุดออกไป
เพ่งไส้น้อย ให้ไส้น้อยหลุดออกไป
เพ่งอาหารใหม่ อาหารเก่า ให้อาหารใหม่ อาหารเก่าหลุดออกไป
เมื่อเครื่องภายในโครงกระดูกหลุดออกไปหมดแล้ว ธาตุน้ำทั้งหลาย มีน้ำเลือด น้ำเหลืองเป็นต้น มีน้ำมูตร เป็นที่สุด ก็หลุดออกจากโครงกระดูกตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดิน เมื่อมีสติ เพ่งพิจารณาให้เครื่องภายในภายนอกหลุดออกจากโครงกระดูกหมดแล้ว ก็แสดงให้เห็นโครงกระดูกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งทั้งข้างในข้างนอก จึงพิจารณาโครงกระดูกเป็นอนุโลมปฏิโลมต่อไป
วิธีพิจารณาโครงกระดูกเป็นอนุโลม
พึงมีสติ กำหนดจิตให้รวมสนิทดีเรียบร้อยก่อน แล้วยกจิตขึ้นเพ่งพิจารณากำหนดให้รู้โครงกระดูกโดยลำดับตั้งแต่เบื้องบนลงไปถึงที่สุดเบื้องต่ำ คือเพ่งพิจารณาดูกระดูกกระโหลกศีรษะแลกำหนดให้รู้แจ้งว่า กระดูกกระโหลกศีรษะนี้เป็นแผ่นโค้งเข้าหากัน มีฟันเกาะกันไว้เป็นกระโหลกอยู่ได้ กระดูกคอ เป็นข้อๆ และเป็นท่อนๆ สวมกันไว้เป็นลำดับลงไป กระดูกหัวไหล่ กระดูกไหปลาร้า ต่ออกจากระหว่างกระดูกคอทั้ง ๒ ข้าง กระดูกแขนทั้ง ๒ แขน กระดูกศอกทั้ง ๒ ศอก กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ กระดูกนิ้วมือทั้ง ๑๐ นิ้ว กระดูกซี่โครงทั้ง ๒๔ ซี่ กระดูกสันหลังเป็นข้อๆ และเป็นท่อนๆ สวมกันไว้เป็นลำดับลงไปตั้งแต่กระดูกคอ ตลอดถึงกระดูกบั้นเอว กระดูกสะโพก กระดูกโคนขา กระดูกเข่า กระดูกแข้ง กระดูกข้อเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกนิ้วเท้าทั้ง ๑๐ นิ้ว
พิจารณาโดยลำดับอย่างนี้ เรียกว่า พิจารณาเป็นอนุโลม เมื่อพิจารณาเป็นอนุโลมโดยลำดับดังนี้แล้ว พึงพิจารณาย้อนกลับเป็นปฏิโลม ดังต่อไปนี้
วิธีพิจารณาโครงกระดูกเป็นปฏิโลม
พึงมีสติ กำหนดจิตให้รวมสนิทเป็นหนึ่งตลอดไป ยกจิตขึ้นเพ่งพิจารณา กำหนดรู้โครงกระดูกย้อนกลับเป็นปฏิโลม ตั้งแต่เบื้องต่ำลำดับขึ้นไป จนถึงที่สุดเบื้องบน คือเพ่งพิจารณาดูให้รู้ให้เห็นกระดูกนิ้วเท้าทั้ง ๑๐ นิ้วตลอด แล้วเพ่งพิจารณาดูให้รู้ให้เห็น กระดูกฝ่าเท้า กระดูกข้อเท้า กระดูกแข้ง กระดูกเข่า กระดูกโคนขา กระดูกสะโพก กระดูกบั้นเอว กระดูกสันหลัง กระดูกซี่โครง กระดูกหัวไหล่ กระดูกไหปลาร้า กระดูกแขน กระดูกศอก กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ กระดูกนิ้วมือ กระดูกคอ กระดูกกระโหลกศีรษะ พิจารณาย้อนกลับ ตั้งแต่เบื้องต่ำตลอดขึ้นไปจนถึงเบื้องบนอย่างนี้ เรียกว่า พิจารณาเป็นปฏิโลม
พิจารณารวมศูนย์กลาง
เมื่อพิจารณาโครงกระดูกเป็นอนุโลม ปฏิโลม ถอยลง ถอยขึ้น รอบคอบตลอดแล้ว พึงพิจารณารวมศูนย์กลางที่ท่ามกลางอก ดังต่อไปนี้ พึงมีสติ รวมจิต พร้อมทั้งความคิดความเห็นที่ได้พิจารณาเห็นโครงกระดูกตั้งแต่เบื้องบนลงไปถึงเบื้องล่างย้อนกลับขึ้นมาจนถึงเบื้องบน รอบคอบตลอดแล้วนั้น ทวนกระแสรวมเข้าตั้งไว้ในท่ามกลางอก มีสติพิจารณาให้รู้แจ้งว่า ร่างกายนี้ ก็เป็นแต่เพียงสักว่า กาย ถ้าไม่มีใจครองก็ไม่รู้สึก รู้นึก รู้คิด และเคลื่อนไหวไปมาไม่ได้ มีวิญญาณจิตดวงเดียวเท่านั้นเป็นใหญ่ในชีวิตของเรา ร่างกายทั้งสิ้นนี้ก็อยู่ในใต้อำนาจแห่งจิตดวงนี้ เพราะฉะนั้น จำเป็นเราต้องรวมเอาดวงจิตของเราเข้าตั้งไว้ให้เป็นเอกจิต เอกธรรม เอกมรรค คือให้เป็นจิตดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ที่ทรวงอก วิธีที่ ๒ ดังกล่าวมานี้ เรียกว่า เจริญติรณปริญญาวิธี จบเท่านี้
เจริญปหานปริญญาวิธี
แปลว่า ละ หรือ วางได้ขาด นักปฏิบัติในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีเพียรเพ่งอยู่และมีประสงค์จะบำเพ็ญตนให้ก้าวสู่โลกุตรธรรม จึงจำเป็นต้องเจริญปหานปริญญาวิธีต่อไป
การเจริญปหานปริญญาวิธีย่อมเจริญด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ๓ ประการ คือ
๑. วิปัสสนานุโลม ใช้บริกรรมภาวนาอนุโลมเข้าหาวิปัสสนาวิธี
๒. วิปัสสนาสุญญตวิโมกข์ ใช้บริกรรมภาวนาดับสัญญาให้ขาดสูญ
๓. วิปัสสนาวิโมกขปริวัติ ใช้บริกรรมภาวนาวิปัสสนาญาณวิธีให้เต็มรอบ ระงับนิมิตให้ขาด ถอนอุปาทานขันธ์ ตลอดถอนตัณหาทั้งโคน
บัดนี้จะกล่าวถึงภูมิจิตแห่งนักปฏิบัติที่สมควรได้เจริญวิปัสสนาทั้ง ๓ ประการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อผู้ปฏิบัติจะได้ปฏิบัติถูก คือ
๑. นักปฏิบัติบางคนหรือบางองค์เมื่อนั่งสมาธิภาวนารวมจิตสนิทได้ดี แต่มีปีติแรงกล้าบังเกิดขึ้นทับถมกลบเกลื่อนดวงใจ จะยกจิตขึ้นพิจารณาอะไรก็ไม่สะดวก จำเป็นต้องใช้บริกรรมภาวนาวิปัสสนานุโลมว่า “ขยวยธมฺมา สงฺขารา” หรือ “ขยธมฺมา วยธมฺมา สงฺขารา” เป็นต้น
๒. นักปฏิบัติบางคนหรือบางองค์เมื่อนั่งสมาธิภาวนารวมจิตก็สนิทได้ดีเหมือนกัน แต่เมื่อบังเกิดมีนิมิตขึ้นมากเหลือวิสัยที่จะแก้ไขได้กลายไปเป็นสัญญาเนื่องอยู่ในจิต ระงับไม่ได้ จำเป็นต้องเจริญวิปัสสนาสุญญตวิโมกข์ ใช้บริกรรมภาวนา “สพฺเพ สงฺขารา สพฺพสญฺญา อนตฺตา” เป็นต้น
๓. นักปฏิบัติผู้มีภูมิจิตสูงได้เจริญญาตปริญญาวิธี และได้เจริญติรณะปริญญาวิธีจนตลอดดังกล่าวแล้ว เชื่อว่ามีภูมิจิตสูง ก้าวล่วงวิปัสสนานุโลม และวิปัสสนาสุญญตวิโมกข์แล้ว ควรได้เจริญวิปัสสนาวิโมกขปริวัติต่อไป
วิธีเจริญวิปัสสนาวิโมกขปริวัติ
ในขณะเมื่อตรวจค้นปฏิภาคนิมิต เลิกถอนเครื่องภายในภายนอกออกหมดแล้ว ยังเหลือแต่โครงกระดูกเปล่า และได้พิจารณาโครงกระดูกเป็นอนุโลม ปฏิโลม รอบคอบตลอดแล้ว ได้รวมจิตให้สนิท ตั้งมั่นในที่ทรวงอกดีแล้ว มีสติ ยกจิตขึ้นเพ่งซึ่งโครงกระดูกนั้นด้วยอุบายปัญญาซึ่งบังเกิดขึ้นเอง แลเห็นด้วยในใจของตนเองว่าโครงกระดูกทั้งสิ้นนี้ เป็นของไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ชื่อว่าเห็นอนัตตาด้วยในใจของตนเอง และเห็นเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์แน่แก่ใจแล้ว ยกคำบริกรรมวิปัสสนาวิโมกขปริวัติขึ้นบริกรรมภาวนาว่า
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
สพฺเพ ธมฺมา อนิจฺจา
สพฺเพ ธมฺมา ทุกฺขา
ให้บริกรรมภาวนา นึกอยู่ในใจอย่างเดียวไม่ออกปาก และไม่ให้มีเสียง มิสติกำหนดจิตเพ่งด้วยความนิ่งและวางเฉย จนกว่าจะปรากฏเห็น โครงกระดูกนั้นหลุดถอนจากกันตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดิน เมื่อปรากฏเห็นแจ้งชัดว่าโครงกระดูกนั้นหลุดออกจากกันตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดินหมดแล้ว พึงมีสติยกจิตขึ้นเพ่ง และบริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกขปริวัติอีกว่า
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
สพฺเพ ธมฺมา อนิจฺจา
สพฺเพ ธมฺมา ทุกฺขา
ให้นึกอยู่ในใจอย่างเดียวจนกว่าจะปรากฏเห็นชัดว่า เครื่องอวัยวะทุกส่วนที่ตกลงไปกองอยู่ที่พื้นแผ่นดินนั้น ได้ละลายกลายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟไปเองหมดแล้ว เมื่อจะระงับสัญญาที่หมายพื้นแผ่นปฐพี พึงมีสติยกจิตขึ้นเพ่งบริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกขปริวัติดังกล่าวแล้ว เมื่อจะระงับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้บริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกขปริวัติแบบเดียวกัน ตลอดระงับอรูปฌานทั้ง ๔ ก็ใช้คำบริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกขปริวัติแบบนี้ตลอดไป นี้แลชื่อว่า ได้เจริญปหานปริญญาวิธี
ในตอนสุดท้ายนี้ขอเตือนไว้ว่า ในเวลาได้ใช้คำบริกรรมภาวนาวิปัสสนาวิโมกขปริวัตินี้ พิจารณาให้โครงกระดูกละลายไปเองแล้วก็ดี และได้พิจารณาให้เครื่องอวัยวะต่างๆ ที่ตกลงไปกองอยู่พื้นแผ่นดินนั้นละลายกลายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ เป็นลม ไปแล้วก็ดี ตลอดได้เพ่งพิจารณาให้พื้นแผ่นดินละลายไปเองแล้วก็ดี พึงเป็นผู้มีสติบริบูรณ์ กำหนดเอาจิตของตนไว้ให้รวมสนิทเป็นเอกจิต เอกธรรม เอกมรรค คือเป็นหนึ่งอยู่กับที่ตลอดไป อย่าพึงเป็นผู้ประมาททอดธุระ ปล่อยจิตของตนให้ฟุ้งซ่านไป
เมื่อได้บำเพ็ญข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนาดังกล่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมแลเห็นอานิสงส์แห่งการปฏิบัติพระพุทธศาสนามากไม่มีประมาณ ชื่อว่าได้ถึงพระไตรสรณคมน์อันแท้จริง ส่วนที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่อีก
หมายเหตุ : พระอาจารย์ สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็น 1 ในลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอเชิญศึกษาการนั่งสมาธิได้ที่เวปไซต์ดังต่อไปนี้ครับ
http://smartdhamma.googlepages.com/nimitta_smathi_lp_singha