จากหนังสือ "พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"
เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก โดย อาจารย์ วศิน อินทสระ
จะทยอยมาพิมพ์ให้อ่านกันนะคะ วันนี้ของเสนอ ตอนที่1
[SIZE="3"]คราเมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงพระชนมายุสังขาร พระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาวาลเจดีย์ประทับ
ภายใต้ต้นไม้ซึ่งมีเงาครึ้มต้นหนีึ่ง ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า
"อานนท์ ! เพราะอบรมอิทธิบาทสี่มาอย่างดีแล้ว ทำจนแจ่มแจ้งแล้ว
อย่างเรานี้ถ้าปรารถนาจะมีชีิวิตอยู่ถึงหนึ่งกัปป์(คือหนึ่งร้อยยี่สิบปี) ก็สามารถจะมีชึวิตอยู่ได้"
พระโลกนาถตรัสดังนี้ถึงสามครั้ง แต่พระอานนท์ก็คงเฉยมิได้ทูลอะไรเลย ความวิตกังวล
และความเศร้าของท่านมีมากเกินไป จึงปิดบังดวงปัญญาเสียหมดสิ้น ความจงรักภักดี
อย่างเหลือล้นที่ท่านมีต่อพระศาสดานั้นบางทีก็ทำให้ท่านลืมเฉลียวใจถึงความประสงค์
ของผู้ที่ท่านจงรักภักดีนั้น ปล่อยโอกาสทองให้ล่วงไป อย่างน่าเสียดาย
เมื่อเห็นพระอานนท์เฉยอยู่ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "อานนท์ ! เธอไปพักผ่อนเสียบ้างเถอะ
เธอเหนื่อยมากแล้วแม้ตถาคตก็จะพักผ่อนเหมือนกัน" พระอานนท์จึงหลีกไปพักผ่อน ณ โคน
ต้นไม้อีกต้นหนึ่ง
ณ. บัดนั้น พระตถาคตเจ้าทรงรำพึงถึงอดีตกาลนานไกลซึ่งล่วงมาแล้วถึงสี่สิบห้าปี
สมัยเมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ท้อพระทัยในการที่จะประกาศสัจธรรม เพราะเกรงว่าจะทรง
เหนื่อยเปล่า แต่อาศัยพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ จึงตกลงพระทัยย่ำธรรมเภรี
และครานั้นพระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้ว่าถ้าบริษัททั้งสี่คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ยังไม่เป็นปึกแผ่นมั่นคง ยังไม่สามารถย่ำยีปรูปวาท คือคำกล่าวจาบจ้วง ล่วงเกิน จากพาหิรลัทธิ
ที่จะพึงมีต่อพระพุทธธรรมคำสอนของพระองค์ยังไม่แพร่หลายเพียงพอ ตราบใด พระองค์
ก็จะยังไม่นิพพานตราบนั้น
ก็แลบัดนี้ พระธรรมคำสอนของพระองค์แพร่หลายเพียงพอแล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกา ฉลาดสามารถพอที่จะดำรงพรหมจรรย์ศาสโนวาทของพระองค์แล้ว เป็นการสมควร
ที่พระองค์จะเข้าสู่มหาปรินิพพาน
ทรงดำริดังนี้แล้วจึงทรงปลงอายุสังขาร คือตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า พระองค์จะปรินิพพานใน
วันวิสาขะปูรณมี คือวันเพ็ญเดือนหก
อันว่าบุคคลผู้มีกำลังกลิ้งศิลามหึมาแท่งทึบจากหน้าผาลงสูสระ ย่อมก่อความกระเพื่อม
สั่นสะเทือนแก่น้ำในสระนั้นฉันใด การปลงพระชนมายุสังขารอธิษฐานพระทัยว่าจะปรินิพพาน
ของพระอนาวรณญาณก็ฉันนั้น ก่อความวิปริตแปรปรวนแก่โลกธาตุท้ังสิ้น มหาปฐพีมีอาการ
สั้นสะเทือนเหมือนหนังสัตว์ที่เขาขึงไว้แล้วตีด้วยไม้ท่อนใหญ่ก็ปานกัน รุกขสาขาหวั่นไหว
ไกวแกว่งด้วยแรงวายุโบกสะบัดใบอยู่พอสมควร แล้วนิ่งสงบ มีอการประหนึ่งว่าเศร้าสลดใน
เหตุการณ์ครั้งนี้ เหมือนกุมารีน้อยคร่ำครวญปริเวทนา ถึงมารดาผู้จะจากไปจนสลบแน่นิ่ง
ณ เบื้องบนท้องฟ้าสีครามกลายเป็นสีแดงเข้มดุจเสื่อลำแพนซึ่งไล้ด้วยเลือดสด ปักษาชาติร้อง
ระงมสนั่นไพร เหมือนจะประกาศว่าพระผู้ทรงมหากรุณากำลังจะจากไปในไม่ช้านี้
พระอานนท์สังเกตเห็นความวิปริตแปรปรวนของโลกธาตุดังนี้ จึงเข้าเฝ้าจอมมุนี ทูลถามว่า
"พระองค์ผู้เจริญ ! โลกธาตุวิปริตแปรปรวนผิดปกติ ไม่เคยมีไม่เคยเป็นได้เป็นแล้ว เพราะเหตุ
อะไรหนอ ?"
พระทศพลเจ้าตรัสว่า " อานนท์เอ๋ย ! อย่างนี้แหละคราใดที่ตถาคต ประสูติ ตรัสรู้
หมุนธรรมจักร ปลงอายุสังขาร และนิพพาน ครานั้นย่อมจะมีเหตุการณ์วิปริตอย่างนี้เกิดขึ้น"
พระอานนท์ทราบว่า บัดนี้พระตถาคตเจ้าปลงพระชนมายุสังขารเสียแล้ว
ความสะเทือนใจและความว้าเหว่ประดังขึ้นมา จนอัสสุชลธาราไหลหลั่งสุดห้ามหัก
เพราะความรักเหลือประมาณที่ท่านมีในพระเชฎฐภาดา ท่านหมอบลงท่ีพระบาทมูล
แล้วทูลว่า
" ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ! ขอพระองค์อาศัยความกรุณาในข้าพระองค์และหมู่สัตว์
จงดำรงพระชน์ชีพต่อไปอีกเถิด อย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลย " กลาบทูลเท่านี้แล้วพระ
อานนท์ก็ไม่อาจทูลอะไรต่อไปอีก เพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย
" อานนท์เอย ! พระศาสดาตรัสพร้อมด้วยทอดทัศนาการไปเบื้องพระพักตร์อย่างสุดไกล
ลีลาแห่งความเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์ "เป็นไปไม่ได้ที่จะให้
ตถาคตกลับใจ ตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะอีกสามเดือนข้างหน้านี้
อานนท์ ! เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมา ไม่น้อยกว่าสิบหกครั้ง
แล้วว่า คนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้รับอบรมมาด้วยดี ถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์
(คือหนึ่งร้อยยี่สิบปี) หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้แต่เธอหาเฉลียวใจไม่ มิได้ทูลเราเลย
เราตั้งใจไว้ว่า ในคราวก่อนๆนั้น ถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไป เราจะห้ามเสียสองครั้ง
พอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอ แต่บัดนี้ช้าเสียแล้ว เรามิอาจกลับใจได้อีก"
พระศาสดาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสต่อไปว่า
" อานนท์ ! เธอยังจำได้ไหม ครั้งหนึ่ง ณ ภูเขาซึ่งมีลักษณะยอดเหมือนนกแร้ง
อันมีนามว่า "คิชฌกูฏ" ภายใต้ภูเขานี้มีถ้ำอันขจรนามชื่อ "สุกรขาตา" ที่ถ้ำนี้เอง
สาวกผู้เลื่องลือว่าเลิศทางปัญญาของเราคือ "สารีบุตร" ได้ถอนตันหานุสัยโดยสิ้นเชิง
เพียงเพราะฟังคำที่เราสนทนากับหลานชายของเธอผู้มีนามว่า"ทีฆนขะ" เพราะไว้เล็บยาว"
"เมื่อสารีบุตรมาบวชในสำนักเราแล้ว ทีฆนขะปริพาชกเที่ยวตามหาลุงของตนมาพบลุง
ของเขาคือสารีบุตร ถวายงานพัดเราอยู่ จึงพูดเปรยๆเป็นเชิงกระทบกระเทียบว่า
พระโคดม! ทุกสิ่งทุกอย่างข้าพเจ้าไม่พอใจทั้งหมด ซึ่งรวมความว่า เขาไม่พอใจเราด้วย
เพราะตถาคตก็รวมอยู่ในคำว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เราได้ตอบเขาไปว่า "ถ้าอย่างนั้น เธอก็ควร
ไม่พอใจ ความคิดเห็นอันนั้นของเธอเสียด้วย"
" อานนท์ ! เราได้แสดงธรรมอื่นอีกเป็นอเนกปริยาย สารีบุตรถวายงานพัดไปฟังไป
จนจิตของเธอหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง"
" อานนท์ เอย! ณ ภูเขาคิชฌกูฏดังกล่าวนี้ เราเคยพูดกับเธอว่า คนอย่างเรานี้ถ้าจะ
อยู่ต่อไปอีกหนึ่งกัปป์หรือเกินกว่านั้นก็พอได้ แต่เธอก็หารู้ความหมายแห่งคำที่เราพูดไม่"
" อานนท์ ! ต่อมาที่โคตมนิโครธ ที่เหวสำหรับทิ้งโจรที่ถ้ำสัตตบรรณ ใกล้เวภารบรรพต
ท่ีกาฬศิลาข้าภูเขาอิสิคิลิ ซึี่งเล่ื่องลือมาแต่โบราณว่า เป็นที่อยู่อาศัยของพระปัจเจกพุทธเจ้า
เป็นอันมาก เมื่อท่านเขาไป ณ ที่นั้นแล้วไม่มีใครเห็นท่านออกมาอีกเลย จึงกล่าวขานกันว่า
อิสิคิลิบรรพต (ภูเขากลืนกินฤาษี) ที่เง้ือมเขาชื่อสัปปิโสณฑิกาใกล้ป่าสีตวัน ที่ตโปทาราม
ที่เวฬุวันสวนไผ่อันร่มรื่นของจอมเสนาแห่งแคว้นมคธที่สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจจ์
ที่มัททกุจฉิมิคทายวัน ทั้งสิบแห่งนี้มีรัฐเขตแขวงราชคฤห์"
"ต่อมาเมื่อเราทิ้งราชคฤห์ไว้เบื้องหลัง แล้วจาริกสู่เวสาลีนครอันรุ่งเรืองยิ่ง
เราก็ให้นัยแก่เธออีกถึงหกแห่ง คือที่ อุเทนเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์ โคตมกเจดีย์ พหุปุตตเจดีย์
สารันทเจดีย์ และปาวาลเจดีย์เป็นแห่งสุดท้าย คือสถานที่ซึ่งเราอยู่ ณ บัดนี้ แต่เธอก็หาเฉียว
ใจไม่ ท้ังนี้เป็นความบกพร่องของเธอเอง เธอจะคร่ำครวญเอาอะไรอีก"
" อานนท์ เอย ! บัดนี้สังขารอันเป็นเหมือนเกวียนชำรุดนี้เราได้สละแล้ว เรื่องที่จะดึงกลับ
คืนมาอีกครั้งหนึ่งนั้นมิใช่วิสัยแห่งตถาคต อานนท์! เรามิได้ปรักปรำเธอ เธอเบาใจเถิด
เธอได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว บัดนี้เป็นกาลสมควร ที่ตถาคตจะจากโลกนี้ไป แต่ยังเหลือเวลา
อีกสามเดือน บัดนี้สังขารของตถาคตเป็นเสมือนเรือรั่วคอยแต่เวลาจะจมลงสู่ท้องธารเท่านั้น"
"อานนท์! เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือว่า บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งท่ีรักที่พึงใจเป็น
ธรรมดา หลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอย! ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งทั้งหลายมีความแตกไป ดับไป สลายไปเป็นธรรมดา จะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป เคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวอยู่ทุกขณะ "
จบตอนที่ 1
ตอนต่อไปจะเป็นตอนท่ีพระพุทธเจ้าเสด็จให้โอวาทภิกษุทั้งหลาย
ด้วยพระธรรมเทศนาก่อนปรินิพพาน 3 เดือน
ขออนุโมทนาส่วนกุศลผลบุญแด่ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านบทความนี้
และขอเป็นปัจจัยให้ทุกท่านประสบผลสำเร็จ ในส่ิงที่ปรารถนาในทางที่ดี
ทั้งทางโลกและทางธรรม มีดวงตาเห็นธรรม เกิดภพชาติใด ให้ดวงจิต
เจริญอยู่ในพุทธศาสนาสืบไป และเพื่อการประโยชน์สูงสุดในชีวิต
คือการหลุดพ้นจากทุกข์