1.) ขับล้างพิษโลหะหนัก (ที่มาจาก PM2.5) ที่ฝังอยู่ในร่างกาย
คลอเรลล่า เป็นพืชธรรมชาติเพียงชนิดเดียว จนถึงปัจจุบันนี้ ที่มีผลการวิจัยอย่างชัดเจน จากงานวิจัยมากมายตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ว่ามีความสามารถในการขับพิษโลหะหนักที่ฝังอยู่ในเนื้อเยื่อ ที่ร่างกายไม่สามารถขับล้างออกได้เอง ให้ออกมาจากร่างกายได้
คลอเรลล่า เคยถูกนำไปใช้ รักษาผู้ป่วย ที่เป็นโรคอิไตอิไต (Itai-Itai) ที่เกิดจากพิษโลหะหนักแคดเมียม ในประเทศญี่ปุ่น ช่วงปี 1960-1970 จนพบว่า แผลที่เกิดจาก โลหะแคดเมี่ยมฝังในเนื้อเยื่อของผู้ป่วย หายดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับคลอเรลล่า และ ยังพบว่า มีการขับแคดเมียมออกมาทาง อุจจาระ และ ปัสสาวะ ของผู้ป่วยที่ได้รับคลอเรลล่า (งานวิจัยฉบับนี้ ถูกตีพิมพ์ ลงวารสารทางการแพทย์ ในปี 1975 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/166227)
ปรากฏการณ์นี้ เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง ความสามารถในการขับพิษโลหะหนักที่ฝังอยู่ในเนื้อเยื่อ ที่ร่างกายไม่สามารถขับออกเองได้ เป็นอย่างดี และ มีงานวิจัยในลักษณะนี้ ตีพิมพ์ออกตามมา อีกมากมาย (สามารถค้นเพิ่มเติมได้ใน google คีย์เวิร์ด chlorella heavy metals detox)
2.) เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย (ไว้ต่อสู้กับไวรัส)
คลอเรลล่า เป็นพืชธรรมชาติ ที่มีการวิจัย ในปี 2012 พบว่า สามารถทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเพิ่มขึ้นได้ ประมาณ 2 เท่า (จากการวัด Natural Killer cell activity) หลังจากทานต่อเนื่องได้ 8 สัปดาห์ (จากงานวิจัย https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3511195/)
และ ในปีถัดมา (2013) มีการวิจัยพบว่า 84.61% ของคนไข้ ที่เป็นไวรัสตับอักเสบ C (Hepatitis C Virus) มีความสามารถ ต้านทานไวรัส เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ (จากงานวิจัย https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3581996/)
ปรากฏการณ์นี้ เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การทานคลอเรลล่า อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ร่างกาย มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น และ ผลจากภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่งผลให้ร่างกาย มีความสามารถในการต้านทานไวรัส เพิ่มมากขึ้นด้วย
ย้อนกลับไปในปี 2011 มีงานวิจัย ในญี่ปุ่น ได้มีการทดสอบ ให้กลุ่มตัวอย่าง ทาน คลอเรลล่า ติดกันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ และ ตรวจหา สารแอนติบอดี SIgA (สารแอนดติบอดี SIgA เป็นสารที่ระบบภูมิคุ้มกันสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับไวรัส และ แบคทีเรีย ที่พบได้ตามสารคัดหลั่ง อย่างเช่น เหงื่อ น้ำลาย หรือ แม้แต่เยื่อเมือกต่างๆ อย่างเช่น ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทำหน้าทีกำจัดสิ่งแปลกปลอม ไม่ให้ทะลุผ่านเยื่อเมือกไปได้)
ให้พัก เป็นเวลา 12 สัปดาห์ โดยให้หยุดคลอเรลล่า และ ตรวจหา SIgA ในกลุ่มตัวอย่างเดียวกันนี้ พบว่า ความเข้มข้นของ SIgA ในช่วงที่ทานคลอเรลล่านั้น เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน คิดเป็น ประมาณ 1.4 เท่า ของช่วงที่ไม่ได้ทาน (จากงานวิจัย https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21906314)
สารแอนติบอดี้ SIgA ที่อยู่ตามสารคัดหลั่ง และเยื่อเมือกต่างๆ ที่อยู่ทั่วร่างกาย เมื่อ มีสารแอนติดบอดี้ SIgA เพิ่มมากขึ้น ก็จะยังมีความสามารถ ในการสกัด กำจัด รวมถึง ลดจำนวน เชื้อโรค และ สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ได้มากขึ้น เชื้อโรค และ สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ก็จะเข้าร่างกายได้น้อยลง ส่งผลให้ โอกาสที่จะติดเชื้อ จะน้อยลงตามไปด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น
สำหรับ แม่ที่กำลังให้นมลูก มีการวิจัยในปี 2007 ในญี่ปุ่น ระบุว่า แม่ที่ทาน 6 กรัม (12 เม็ด) ต่อวัน (ปริมาณการทานปกติ 3 กรัมต่อวัน) ในขณะตั้งครรภ์ มีสาร dioxin ที่เป็นสารพิษในปริมาณน้ำนม ลดลงได้ 40% และ ยังศึกษาพบว่า มีการเพิ่มสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) SIgA ในน้ำนม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (จากงานวิจัย https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/17472477)
นั่นหมายถึง การทานคลอเรลล่า อย่างต่อเนื่อง นอกจากจะช่วยลดปริมาณสารพิษ dioxin ในน้ำนมให้น้อยลงแล้ว ยังทำให้ลูกได้รับ สารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) SIgA มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายลูก สามารถต้านทาน สิ่งแปลกปลอม ไวรัส แบคทีเรีย ได้ดียิ่งขึ้น
(ซึ่ง กระบกวนการ การทำงานของคลอเรลล่า ที่ทำให้ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพิ่มขึ้นได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ในลิงค์ https://sbntown.com/forum/threads/373237)
3.) ซ่อมแซมความเสียหาย ของร่างกาย (ที่ได้รับจาก PM2.5 และ ไวรัส) ได้ถึงระดับ DNA
คลอเรลล่า เป็นพืชธรรมชาติ ที่ถูกค้นพบว่า มีปริมาณ "กรดนิวคลีอิก" ต่อน้ำหนักตัว มากที่สุดในโลก
กรดนิวคลีอิก เป็นสารอาหารที่เซลล์ จำเป็นต้องใช้ เป็นอะไหล่ ซ่อม DNA ของตนเอง ซึ่ง หากเซลล์ ที่ DNA เสียหาย (จาก พิษ PM2.5 หรือ ไวรัส หรือ แม้แต่สาเหตุใดๆก็ตาม) แล้ว ไม่สามารถซ่อมได้ เซลล์ จะกลายเป็น "เซลล์เสื่อม" ที่นอกจากเป็นเหตุของความแก่ชราแล้ว เป็นเหตุให้เกิดความผิดปกติ ของระบบต่างๆ ในร่างกาย จนกลายเป็นสาเหตุ ของโรคเรื้อรังต่างๆ
ดังนั้น การที่เซลล์ ได้รับกรดนิวคลีอิกอย่างเพียงพอ (ไม่ขาดอะไหล่) จะช่วยให้เซลล์ สามารถซ่อมแซม DNA ของตนเองได้สมบูรณ์ขึ้น อัตราการเกิดเซลล์เสื่อม ของร่างกายก็จะลดลง
นายแพทย์ Benjamin S. Frank ชาวอเมริกัน ได้ทดสอบสมมติฐานนี้ โดยให้คนไข้ได้ ทานอาหารที่มีส่วนประกอบของ กรดนิวคลีอิก คิดเป็น 1 - 1.5 กรัม ต่อวัน เป็นเวลาติดกัน 2 เดือน พบว่า สามารถทำให้เซลล์ที่เสื่อม สามารถฟื้นฟูตัวเองได้มากขึ้น จนมีสภาพสมบูรณ์ขึ้นกว่าตอนก่อนเริ่มทานได้ (จากหนังสือ หนังสือ No-Aging Diet เขียนโดย นายแพทย์ Benjamin S. Frank)
และ เนื่องจาก คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียวขนาดเล็ก (ขนาดของคลอเรลล่า เท่าขนาดเซลล์มนุษย์) กรดนิวคลีอิก ที่ได้จากคลอเรลล่า จึงเป็นกรดนิวคลีอิกที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง และยังมีขนาดเล็ก ไม่ต้องผ่านการย่อย เซลล์จึงสามารถนำไปใช้ซ่อม DNA RNA ได้ อย่างรวดเร็ว
คลอเรลล่า จึงเป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่สามารถช่วยให้ร่างกายซ่อมตัวเองได้ตั้งแต่ระดับ DNA ช่วย ป้องกัน ฟื้นฟู ไม่ให้เซลล์เสื่อมเกินธรรมชาติ จากพิษภัยที่มาจากสิ่งแวดล้อม จากคุณสมบัตินี้ คลอเรลล่า จึงได้รับการขนานนามว่า "น้ำพุแห่งความเยาว์วัย (The Fountain of Youth)" (Peter Minkoff, 2016, https://highstylife.com/chlorella-the-superfood-of-supermodels/)
(ซึ่ง กระบกวนการ การทำงานของคลอเรลล่า ที่ช่วยให้เซลล์สามารถซ่อม DNA ของตนเอง เพิ่มขึ้นได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ในลิงค์ https://sbntown.com/forum/threads/371215)
ทำไม การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นต้องเลือก "คลอเรลล่า ที่ปลอดภัย" เท่านั้น
คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียว ที่มีความสามารถในการดักจับโลหะหนักสูง ดังนั้น คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนของโลหะหนัก ก็จะดักจับโลหะหนัก ในแหล่งน้ำนั้นๆ มาเก็บไว้ที่ตัวเอง
ดังนั้น เมื่อทานคลอเรลล่า ที่มีการปนเปื้อน โลหะหนัก ก็เท่ากับร่างกายได้รับพิษโลหะหนักเพิ่มจากคลอเรลล่า แทนที่คลอเรลล่าจะมาขับล้างพิษโลหะหนักในร่างกายออกไป
โดยหลักการนี้ การทานคลอเรลล่า ที่ไม่สามารถการันตี "ความปลอดภัย" ได้ จะยิ่งทำให้ร่างกายสะสมพิษมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะในสถานการณ์วิกฤติหรือไม่ ก็ตาม
การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเลือก คลอเรลล่า เป็นออร์แกนิกส์ 100% เพื่อการันตี ว่า จะไม่มีสิ่งพิษปนเปื้อนเข้ามาสู่ร่างกายเรา แทนที่จะมาช่วยร่างกายขับพิษ
โดยที่ คลอเรลล่า ที่ได้รับการการันตีว่า เป็น ออร์แกนิกส์ 100% นั้น ถือว่าเป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่สะอาด ปลอดภัย สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย และ สามารถทานต่อเนื่องได้ ตลอดชีวิต