คราวที่แล้วพาไป Tokyo แล้ว คราวนี้จะพาไป Kyoto . . ใครจะรู้ แค่คำหน้าหลังสลับกันเมืองมันจะไกลและต่างกันได้เพียงนี้
ผู้ร่วมขบวนการเกียวโตครั้งนี้มีทั้งหมดหกชีวิตถ้วน . . หนึ่งผู้นำ ห้าผู้ตาม เชื่อใจคนพาไปจริงจริ้งงงง (ก็มันพูดญี่ปุ่นได้อยู่คนเดียวอ้ะ) lol ไม่มีใครใส่ใจใด ๆ ทั้งสิ้น . . (แต่เค้ากับพี่อีกคนนึงก็ยังแอบดูแผนที่บ้างว่าไปยังไง เผื่อจะกลับมากันเองอีกครั้ง)
นัดเวลากันตีห้าสิบห้า เพราะรถบัสฟรีลี้จากโรงแรมไปสนามบินตีห้าครึ่ง . . หวังใจว่าจะไปซื้อ JR day pass . . พอไปถึง ก็ยื่น passport ให้ป้าญี่ปุ่น . . ป้าเปิดไปเปิดมามองหน้า . . visa ๆ พวกเราก็ไม่มี๊ไม่มี มานี่ไม่ต้องใช้ . .
ป้าบอกว่า ไม่ได้ฮะ จะซื้อ JR day pass ต้องใช้ tourist visa . . ทำไมหรอออออออออออออออ ไม่ได้มาในฐานะนักท่องเที่ยวแล้วจะไปแบบถูกบ้างมิได้ฤ !
อืม . . ไม่ได้ -_-" ป้าญี่ปุ่นค่อนข้างหนักแน่น เจ๊าะแจ๊ะไม่ได้เลยทีเดียว (เพราะปกติอยู่ออส อย่างเวลาเข้าสวนสัตว์เอาบัตรถามว่าลดได้ป่าว จริง ๆ ลดไม่ได้ แต่ก็แอบประเหลาะลดราคามาได้ . . )
พอคำนวณค่าเสียหายอย่างด่วนกับอย่างธรรมดาพร้อมทั้งเวลาของทั้งสองแบบแล้ว พวกเราเลือก . . แบบธรรมดาค่ะ . . เพราะป้าบอกว่าไปเร็วกว่ากันไม่เกินครึ่งชั่วโมง (สิริรวมไม่ถึงสองชั่วโมง ป้าทำท่ามั่นใจมาก)
แต่ถูกกว่ากันเท่าไหร่จำไม่ได้ ราคาไปกลับ 3,355 เยนต่อคน . . เพราะซื้อตั๋ว 11 ใบแล้วได้ลดราคา และบวกหนึ่งเพิ่มเข้าไป เป็นหกคนไปกลับพอดี . . เค้าบอกว่าจะจ่ายด้วยบัตรเพราะจะเก็บเงินสดไปซื้อของร้านที่รูดไม่ได้ . . ปรากฏรูดปั๊บ ป้าหันมาถาม pin number . . เค้าแบบ เอ่อ signature จ่ะป้า . . ป้าบอกไม่มี๊ pin only . . -_-" ต้องจ่ายเงินสดรู้สึกป่วยขึ้นมาทันทีเลย
ผู้นำคณะถามป้าว่า ไป platform ไหน . . ป้าบอก platform 3 อีกไม่กี่นาทีที่จะถึง รับตั๋วมาวิ่งหน้าตั้งไปรอรถไฟ . . แต่เพิ่งนึกกันได้ว่า เวลาที่ป้าบอกเป็นเวลาของรถด่วน (และยังไม่ใช่ขบวนสุดท้ายย่ะ) . . คนละขบวนกันนะฮะ ต้องรอไปอีกสิบห้านาที (ละจะรีบกันทำไมฮ้าาา)
จาก Airport ไป Osaka station ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงสิบแปดนาทีถ้วน
จาก Osaka ไป Kyoto รอ ณ platform 7-8 ไปอีกประมาณเกือบชั่วโมง . .
ไหนป้าบอกประกันไม่เกินสองชั่วโมง T_T (วันหลังอย่าทำท่ามั่นใจให้เราหลงกลกันอีกนะ !)
แต่ก็ยังดีที่มากันถึง . .
Kyoto Tower ในวันสีเทา . .
ออกจากสถานีมาขึ้นไปชั้นสอง รอ Tourist infomation centre เปิดตอน 8.30 เพื่อเอาข้อมูลท่องเที่ยวที่จะมาใช้วางแผนกันว่าไปไหนดี (อีกแล้วนะ พึ่งจะมาวางแผน !)
เอาแผ่นพับมามากมาย พร้อมทั้งซื้อตั๋วรถเมล์ day pass ในราคา 500 เยน
แล้วลงไปหาอะไรทานกันก่อนออกเดินทาง พร้อมทั้งดูว่าจะไปไหนก่อนดี (ถ้าจะพูด เอ้ย พิมพ์ให้ถูกต้องบอกว่า ดูว่าผู้นำจะพาไปไหนก่อนดี)
อิ่มแล้วก็เข้าห้องน้ำ สาว ๆ ก็เติมหน้าแต่งตาเตรียมตัวไปถูกถ่ายรูป (ยกเว้นผู้ชายหนึ่งคนที่ไปก็พร้อมออกสมรภูมิ ไม่ต้องครอสเช็คกับกระจกแล้ว lol และเค้าที่เป็นอีเพิ้งไปเสมอ ถ้าวันธรรมดาไม่เค้ยไม่เคยแต่งหน้า อย่างดีก็มีแค่ lip gloss แท่งเดียว) แน่นอน . . ข้าพเจ้าก็ต้องเป็นคนถ่ายอีกเช่นเคย
ลืมบอกไปว่าวันนี้ฝนตกทั้งวันตามพยากรณ์อากาศกันเลย พกร่มมาพร้อมรบ . . ตัวไม่กลัว กลัวแต่กล้องจะเปียก . . >_< เดี๋ยวน้องดีเป็นหวัด จัดยากันไม่ถูกเลยนะงานนี้
(พล่ามมานาน สรุปจะถึงวัดรึยังคะ?)
อะ และแล้ว พวกเราก็มารอรถเมล์ที่ B2 นั่งเบอร์ 101 ไป Kinkakuji หรือที่พวกเราเรียกกันว่าวัดทอง (Temple of the Golden Pavillion) ฮะ (จริง ๆ มันมีสายอื่นไปได้ด้วย แต่เราเลือกที่มันจอดน้อย ๆ หน่อย ดูในใบ bus map ที่เค้าให้มา ที่เขียนว่า Raku bus อะไรเนี่ยฮะ จะได้ถึงไว ๆ ) มีฝรั่งคนนึงมาคนเดียว ยืนอยู่ข้างหน้า ถามว่าซื้อตั๋วจ่ายตังค์อะไรยังไง ก็ช่วยอธิบายให้ฟัง . . พอขึ้นรถไป ฝรั่งนั่งข้างหน้า เห็นเค้าดูแต่ในหนังสือ เค้าเห็นว่า ไอ่ใบที่หยิบมาจาก tourist info มันดูง่ายกว่าแล้วก็มีบอกค่ารถ วิธีจ่าย กับที่ท่องเที่ยวมากมาย เลยสะกิดยื่นให้ . . พี่ฝรั่งบอกว่า มีแล้วจ่ะ . . เพล้ง >_< อ่าว มีแล้วไม่อ่านเล่าาาา !
รู้สึกว่าใช้เวลาเดินทางไม่นาน เพราะเพลินมองข้างทางที่รถผ่าน ดูน่าเดินเอามาก ๆ แต่พวกเรามีเวลาไม่พอจะเตาะแตะนอกเส้นทางที่วาดไว้แต่แรก เสียดาย . . แล้วเราจะกลับมา . .
ระหว่างทางก็มีคนขึ้น ๆ ลง ๆ มากมาย จนมีคู่นึงขึ้นมาบนรถเมล์ผู้หญิงกับผู้ชายนั่งแยกกันคนละฝั่ง หญิงซ้าย ชายขวา
เค้าก็หันไปคุยกับเพื่อนว่า "โห น้องเค้ายังวัยรุ่นอยู่เลย ผมหงอกแล้ว"
แล้วก็นั่งคุยกันไปซักพัก . . น้องผู้หญิงที่นั่งอีกฝั่งซึ่งอยู่ข้างหน้าเพื่อนเค้า ก็หันมาถามว่า "คนไทยหรอคะ?"
(กรีดร้องอยู่ในใจว่า "กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด น้องผู้ชายคนนั้นเค้าไม่ได้ยินชั้นเม้าท์ใช่ม้ายยยยยยย . ." T_T)
ติดนิสัยไง อยู่ต่างประเทศก็พูดไปเรื่อยเจื้อย เป็นไงล่ะ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนไทยมีกระจายอยู่ทั่วไปในหลืบโลกนะฮะ . .
เค้ามาแบ๊คแพคกันสองคน ทำการบ้านมาดีมาก . . มากจนพวกเราเลยถามใหญ่เลยว่าอะไรไปยังไงมีอะไรน่าสนใจ ขอบใจมากนะตัว
และแล้วในที่สุดก็ไปถึงวัดเป้าหมายแรกของวัน Kinkakuji ค่า
(ค่าเข้าชมวัด 400 เยน . . ได้บัตรเข้าแล้วก็เดินผ่านคุณน้าคนนึงบอกว่า "สวัสดีครับ" อะแหน่ รู้ด้วยว่าเราคนไทย)
เสียดายมากที่ฝนตก เพราะน้ำไม่นิ่งเลย เคยเห็นในรูปคนอื่นถ่ายกัน เงาวัดสะท้อนสวยงาม . . วันนี้ไม่มีเงา แต่วัดก็ยังคงสวยและดูสง่าอย่างที่เค้าคิดไว้จริง ๆ . . : )
(เม็ดฝนโปรยปรายยยยยย)
แล้วอยู่ ๆ มันก็เทลงมา เทลงมา . . T_T
อันนี้คือที่ ๆ คนเค้ามาอธิษฐานละโยนเหรียญให้เข้าชามหินตรงกลางนั้นอ้ะ . . เค้าโยนไม่ลง >_< พลาดไปจึ๋งนึงเอง เฟล แต่มีเพื่อนกับพี่อีกคนนึงโยนลง
วัดนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 1397 แต่เดิมทีจุดประสงค์เพื่อให้โชกุน Ashikaga Yoshimitsu อยู่หลังปลดเกษียณ พอต่อมาลูกชายโชกุนได้ทำเป็นวัดเซนไป . . ตึกนี่ถูกเผามาแล้วถึงสองครั้งในช่วงสงคราม Ōnin
ครั้งนึงถูกเผาโดยนักบวชคนหนึ่งนาม Hayashi Yoken ซึ่งภายหลังได้พยายามฆ่าตัวตายบนยอดเขา Daimon-ji หลังตึกนี่เอง แต่เค้าไม่ตายค่ะท่านผู้โช้มมมมม เลยถูกจับในที่สุด . . ตำรวจได้ไปเชิญคุณแม่ของเค้าเพื่อมาไต่ไร่ (สวน !) แต่ระหว่างทางคุณแม่โดดลงจากรถไฟเพื่อฆ่าตัวตาย . . -__-"
สรุปนักบวชท่านนี้ก็ถูกจำคุกเจ็ดปี แต่ได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากมีปัญหาทางจิต แต่ก็เสียชีวิตหลังจากปล่อยตัวได้ไม่นานนัก . .
ในปี 1984 ภายนอกตึกกร่อนลงบ้างตามอายุ เลยจัดการบูรณะ และปะทองหนาขึ้นอีกฮะ ใช้เวลาถึงสามปี !
วัดนี้อย่างที่เห็นมีทั้งหมดสามชั้น ส่วนที่เป็นทองมีสองชั้นบน . . ตั้งตระหง่านกลางบ่อน้ำที่ถ้าเป็นวัดแสงส่องก็คงสวยไม่น้อยเลย . . เพราะจะได้เห็นเงาตึกทองผ่านผืนน้ำด้วย (เสียดายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย) ในน้ำก็มีเกาะเล็กเกาะน้อยกับก้อนหินเป็นหย่อม ๆ
พวกเราเดินถ่ายรูปท่ามกลางหมู่ชนมากมายและสายฝน (ไม่มีกรองทิพย์นะฮะ ตึ้ง!)
ถ่ายรูปให้เพื่อนเสร็จก็ให้เพื่อนถ่าย ถ่ายยังไงเค้าก็ไม่ชัด >_< ปรากฏอยู่ ๆ จากที่ฝนโปรยปรายไม่หนานัก ก็เทซู่มลงมา . . เลยต้องลี้ไปหลบกันใต้หลังคาตึกข้าง ๆ บ่อน้ำนั่นเอง . . รอจนฝนซาก็พากันเดินไปรอบ ๆ . . อารมณ์มันก็แอบเป็นทางเดิน one way อยู่นะ . .
เจอร้านเครื่องรางก็ซื้อไปฝากแม่พี่ชายและเพื่อนซะหน่อย . . (*เค้าห้ามถ่ายรูปและต้องหุบร่มก่อนเข้าไปเลือกด้วยนะ)
แล้วพวกเราก็มาเขียนพรแขวนกับเค้าบ้าง . .
เดินรอบแล้วก็ถึงทางออก . .
ฮ้ะ? ทางออก อะไรนะ? เมื่อกี๊คิดไว้ว่าจะขอให้เพื่อนถ่ายซ่อมให้หน่อย เพราะไม่รู้จะได้มาอีกเมื่อไหร่ . . ชวนพี่คนนึงบอกไปถ่ายซ่อมให้เค้าหน่อย . . ก็เดินผ่านคุณน้าคนเดิม บอกเค้าว่าเนี่ย ๆ เดี๋ยวขอเข้าไปถ่ายแล้วย้อนกลับมาทางเดิมได้ป่าว เพราะไม่งั้นต้องเดินไกล . . น้าแกก็ทำหน้ายิ้ม ๆ แล้วปิดตา . . น่ารักมาก (นี่แหละ สโลแกนของเค้า Karen can do . . หรืออีกนัยหนึ่งว่า กระเหรี่ยงทำได้ >_< )
พอถ่ายเสร็จก็วิ่งกลับออกมาหาเพื่อน ๆ คนอื่นแล้วก็ไปรอรถเมล์ . .
แน่นอน คนส่วนใหญ่ถ้าไปวัดทองแล้วก็ต้องนึกถึงวัดเงิน . . พวกเราก็นึกถึงค่า . .
แต่ไปไม่ทัน -_-" เลยเลือกข้ามช่อทไปนะฮะ นั่งรถที่ป้ายเดิมที่ลง แต่นั่งสาย 204 ไป
ผ่านอันนี้แต่ไม่ได้ลง ไม่ทันนนน
จนใกล้จะถึงที่จะลง เค้าหันไปบอกเพื่อน ๆ พี่ ๆ ว่า "เตรียมโกหกกันยัง"
ทุกคนทำหน้างง . . เลยบอกว่า . . เตรียมตั๋วไง !
(ตึ่งโป๊ะ !)
ปริศนาไขกระจ่างแล้วสำหรับเพื่อน ๆ พี่ ๆ อีกสี่หน่วย แต่อีกหนึ่งยังไม่เข้าใจ -_-" จนลงรถมาแล้ว รอรถคันใหม่ก็แล้ว ต้องอธิบาย เอิ่ม ตั๋ว ขี้ตั๋ว ขี้ฮก โกหกอะฮะพี่
ลงที่ป้าย Ginkakuji-michi แล้วขึ้นสาย 100 ไป Kiyomizu-dera หรือที่พวกเราเรียกกันว่า "วัดน้ำใส" พอเพื่อนบอกว่าจะไปวัดน้ำใส เค้าถามหันที่ว่า "ใส่ลูกชิ้นด้วยป่าว . . " เพื่อนทำหน้าแบบ . . อีนี่ !
รูประหว่างทางไปวัด . .
นี่ฮะ เคโระของจริง !
ท่าโนะเนะประจำประเทศอีกท่า . . (ส่วนอีกท่าต้อง ^^ V )
เพื่อนบอกว่าให้ตักล้างมือซ้าย ตักล้างมือขวานะ . . ใครรู้จริงวานบอก . .
วัดน้ำใสมีชื่อเต็ม ๆ ว่า Otowa-san Kiyomizu-dera สร้างขึ้นเมื่อปี 798 ถูก UNESCO จัดให้เป็น World Cultural Heritage ช่วงปลายปี 1994
ชื่อของวัดได้มาจากสายน้ำที่ไหลผ่านทิวเขาแถววัดเนี่ยแหละฮะ . . Kiyomizu แปลว่าน้ำใส หรือน้ำบริสุทธิ์ .
จากบนเขานั้น เราจะเห็นวิวเมืองเกียวโตในมุมกว้างงงง พร้อมทั้ง Kyoto Tower ด้วย
ในสมัย Edo มีความเชื่อว่า ถ้าใครโดดลงมาความสูง 13 เมตร แล้วรอดชีวิต คำปรารถนาจะเป็นจริง รวมทั้งสิ้น 234 ชีวิตที่โดดในสมัยนั้น 85.4% รอด (ไม่รู้ที่รอด ที่ขอไว้เนี่ยลุล่วงรึเปล่าดิ) แต่ปัจจุบันเค้าห้ามแล้วนะฮะ อย่าไปลองเชียว . .
ที่นี่มีน้ำสามสายไหลลงบ่อให้ผู้คนมากมายไปรองดื่มกันเพราะเชื่อว่าแต่ละสายมีความหมายแตกต่างไป สายหนึ่งปัญญา สายสองสุขภาพ สายสามอายุยืนยาว . . (เค้าดื่มไปหนึ่งสายถ้วนก็พอแล้ว เรียกได้ว่าเลียเลย เพราะไม่รู้มันสะอาดแค่ไหน . . แอบเห็นรางที่น้ำไหล ตอนแรกตกใจนึกว่าน้องหนิม แต่เพื่อนบอก เค้าใช้ท่อทองแดงมั๊ง . . )
คนญี่ปุ่นเชื่อว่าควรดื่มไม่เกินสองสาย โปรดสังเกตคำเตือนบนฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง . . ยั้ง! คือเค้าเชื่อว่าถ้าละโมบโลภรองไปสามสายมาดื่มเลยเนี่ย จะนำโชคร้ายมาสู่ตัว . . (แต่เอ๊ มีพี่คนนึงดื่มจากสามสายเลยแฮะ . . )
ตรงนี้เป็นส่วนที่มีหลาย ๆ ศาลเจ้า รวมถึง Jishu Shrine ที่มี Ōkuninushi ที่เค้าเชื่อว่าเป็นเทพแห่งความรักและคู่แท้ ซึ่งจะมี Love Stones วางห่างกัน 18 เมตร เพื่อให้ผู้ที่มาปิดตาเดินจากก้อนหนึ่งไปสู่อีกก้อนหนึ่ง หากเดินสำเร็จหมายความว่าจะประสบความสำเร็จในความรักที่แท้จริง . . ไม่ใช่ต้องเดินเองอย่างเดียวนะ หากเดินแล้วเบี้ยว มีคนมาช่วยบอกทางได้ แต่นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนช่วยให้สมหวังในความรัก . .
เค้าก็ลองเดินนะ . . . ไม่ตรงเลย lol เบี้ยวไป จนพี่ที่ไปด้วย ต้องมายืนบอก ก้าวซ้ายค่ะน้อง ซ้ายค่าาาา ซ้ายอีกกกกก ซ้ายยยยยย . . (แอบสงสัย นี่ตูหัวขวาขนาดนี้เลยหรอ >_<)
แถวนั้นมีเครื่องรางมากมาย มีสิ่งสะเดาะเคราะห์ ที่ให้เขียนปัญหาลงในกระดาษรูปตัวคนแล้วลอยลงในน้ำให้ละลายไป . . เหมือนเป็นเครื่องช่วยเหลือทางจิตใจของคนทั่วไป . .
วันที่ไปไม่รู้เป็นวันอะไร . . เพราะคนมาไหว้มากมาย แล้วแอบได้ยินจากไกด์คนไทยที่พาทัวร์มาบอกว่า "ไหว้วันนี้วันเดียวเท่ากับไหว้ไปอีกพันวัน เพราะวันนี้เป็นวันดี วันแรกของพิธีงาน" แต่ไม่รู้งานไรดิฮะ
อันนี้คือรางน้ำสามสาย . .
อันนี้คู่ญี่ปุ่นแถวนั้น แอบถ่ายมา ฮี่ฮี่ อิจฉา !
ลุงซามูไรยืนกางร่มเกาก้นแกรก ๆ . . -_-"
สร้อยแม่ถู (ลูกกวาด ! ตึ้ง !)
จากวัดน้ำใส พวกเราก็หิวจนไส้จะไหลมากองกันอยู่แล้ว เลยรีบออกมาหาของหม่ำกันแถวนั้น
เสียใจมาก เสียใจมากจริง ๆ ที่หลงเชื่อว่าอาหารญี่ปุ่นที่ไหนก็อร่อย . . ที่แท้เค้าคิดผิด ร้านที่เข้าไปทานนี่ไม่อร่อยเลย . . เลยยยยยยยยยยยย . . เลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ! (ปกติเค้าลิ้นจระเข้นะ แต่นี่จระเข้ไม่หิวไม่กินนะเนี่ยขอบอก)
ใครไปแนะนำว่าอย่าเข้าเลย ร้านอยู่ชั้นสองของร้านขายของที่ระลึก มีพวกข้างแกงกระหรี่ โอยาโกด้ง (ข้าวหน้าไก่กับไข่) อุด้ง อะไรพวกนี้นะ . .
ว่าแล้วก็ไปขึ้นรถเมล์กลับกันฮะ . . นั่งสายอะไรก็ได้ไปลง Kyoto Station เพื่อจะต่อ Subway ไป Fushimi Inari Shrine เป็นวัดจิ้งจอก . .
ในราคา 140 เยนไป 140 เยนกลับ จาก platform 8 ลง Inari Station ปั๊บถึงปุ๊บเลยฮะ
วัดนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 711 อยู่ตรงเท้าเขา (จะพิมพ์ว่าทีนก็เกรงจะดูหยาบคาย lol) เป็นทางขึ้นผ่านเสาแดง (หรือที่เรียกว่า Torii) มากมายไปวัดเล็กวัดน้อยนะฮะ
Inari เป็นเทพแห่งธุรกิจ เพราะเสาเป็นพัน ๆ ต้นที่วัดนี้ได้ถูกบริจาคโดยผู้ประกอบธุรกิจของญี่ปุ่น พ่อค้าและผู้ผลิตบูชา Inari เพื่อความร่ำรวย
จิ้งจอกมากมายที่อยู่ตามหัวเสาในนี้นับเป็นผู้ส่งสาร และจะเห็นได้ว่าจะคาบกุญแจไขยุ้งข้าวไว้ในปาก
ไปถึงก็มืดมิด ได้ถ่ายรูปกันนิดหน่อยต้องรีบกลับ เพราะรถไฟจะหมด >_<
ต้องต่อรถไฟ จาก Kyoto ไป Osaka จาก Osaka ไป Rinku . .
จาก Kyto รถไฟหมดนู้นเที่ยงคืนกว่า ชิว ๆ ฮะ
(หรอ?)
หันไปบอกเพื่อนว่า ถามว่าจาก Osaka หมดกี่โมงด้วยดีป่าววะ ตูเข็ดที่เคยจะเป็น Homeless ไปรอบนึงแล้วตอนไป Tokyo
ดีนะที่ถาม เพราะจาก Osaka มันหมด 20.49 ค่ะ !
รีบตาลีตาเหลือกไปถ่ายรูปที่วัดจิ้งจอกแล้วก็รีบกลับ . . นั่งรถไฟ platform 5 ไป Osaka ต่อ platform 1 ไป Ringku Station เพลิดเพลินกันพลังงานหมดเลยทีเดียววันนี้ โทรมได้อีก ฝนสาดซะหัวเหอยุ่งกล้องเปียก (ขนาดระวังแล้วก็ยังเปียก) . .
อันนี้ตอนนั่งรถไฟกลับอย่างเมื่อย . .
อันนี้ป้ายโฆษณาที่สถานีรถไฟ lol
กิจกรรมอีกอันตอนนั่งรถไฟนอกจากหลับแล้ว ยังดู clip อีกฮะ . .
กลับมาถึงห้องก็ราว ๆ สี่ทุ่มกว่า . . จบละหนึ่งวัน . . เต็ม ๆ : )
แต่ยังรู้สึกไม่อิ่มกับเกียวโต มีอะไรให้ดูอีกเยอะ ขอให้ได้กลับไปหาอีกนะฮะ
[SIZE="1"]ปล. รูปไม่สวยโทษฝน คนไม่สวยโทษกล้อง (ฮ่า ๆ อ่อ ขออภัยถ้ารูปเยอะไปหน่อย >_<)
ปล.2 เว้นไว้อีกซักระยะ เดี๋ยวจะแอบลงฮาวาย, เยอรมัน กับฝรั่งเศสด้วยละกัน ลงบ่อย ๆ กลัวจะเบื่อกันนนน เพราะมันยาว