มีการวิจัยพบว่า เด็กที่ทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง จะเป็นเด็ก "ชอบกินผัก"
มีการทำวิจัยที่เมือง Tottori ประเทศญี่ปุ่น ตีพิมพ์เมื่อปี 1983 เป็นการศึกษาพฤติกรรมของเด็กที่ได้รับคลอเรลล่า 0.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว ทุกวัน อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยังเป็นทารก อายุน้อยกว่า 1 ปี เทียบกับอีกกลุ่มที่ไม่ได้รับคลอเรลล่า ใช้เวลาวิจัยต่อเนื่อง 5 ปี จนเด็กอายุเกิน 5 ปี พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญว่า
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า เป็นหวัดยากกว่า เป็นโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารยากกว่า
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีขนาดตัวใหญ่กว่า
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีพัฒนาการที่ดีกว่า
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีฟันน้ำนมที่มีสภาพสมบูรณ์กว่า อัตราการผุน้อยกว่า
- กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า "มีความอยากรับประทาน อาหารที่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่นผัก และ ผลไม้มากขึ้น เมื่อเทียบกับอีกกลุ่ม"
ผลของการเจริญเติบโต และ พัฒนาการทางด้านจิตใจและสติปัญญาในเชิงบวกนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการชดเชยข้อบกพร่อกทางพันธุกรรมของอวัยวะบางอย่างด้วยสารอาหารที่มีในคลอเรลล่า
สารอาหารที่มีในคลอเรลล่า ยังช่วยสนับสนับสนุน อวัยวะ และ ระบบ ที่ยังอ่อนแอ ของเด็กแรกเกิด ให้สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ตามธรรมชาติ แม้ว่าจะต้องพบเจอ อุปสรรคที่คอยขัดขวางการเจริญเติบโต อย่างสารพิษและเชื้อโรค ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ตาม
ข้อมูลจากงานวิจัย
Tokuyasu, M.: "Examples of diets for infants' and children's nutritional guidance, and their effect of adding chlorella and C.G.F. to food schedule", Tottori City, Japan: Conference proceddings at the nutritional Illness-Counselling Clinic 1983, see also: Jpn. J. Nutr. (1980) and 1983, 41(5), pages 275-283.
Tokuyasu, M.: "Examples of diets for infants' and children's nutritional guidance, and their effect of adding chlorella and C.G.F. to food schedule", Tottori City, Japan: Conference proceddings at the nutritional Illness-Counselling Clinic 1983, see also: Jpn. J. Nutr. (1980) and 1983, 41(5), pages 275-283.
การที่เด็กไม่ทานผัก ก่อนหน้านี้ มีความเข้าใจว่ามาจากสาเหตุทางจิตใจ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การศึกษาปัญหานี้ในระยะหลังๆ กลับพบว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากเงื่อนไขของร่างกายเมื่อแรกเกิดของเด็ก ที่มีเงื่อนไขตามธรรมชาติที่ทานผักได้ยาก
ร่างกายของเด็กมีธรรมชาติที่ต้องเจริญเติบโต จึงต้องการอาหารกลุ่มโปรตีน และ กลุ่มที่ให้พลังงานเป็นจำนวนมาก อาหารกลุ่มผัก เป็นอาหารกลุ่มที่ให้โปรตีนและพลังงานน้อย แต่ต้องใช้พลังงานในการย่อยเป็นจำนวนมาก จึงไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขของร่างกายเด็ก เด็กจึงไม่มีความอยากทานผักตามสัญชาติญาณของร่างกายอยู่แล้ว
ระบบย่อยอาหารของเด็ก ยังไม่แข็งแรง มีแบคทีเรียที่ช่วยย่อยอาหารจำพวกผักอยู่น้อย ส่งผลให้เด็กมักมีอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง ตอนเริ่มทานผัก ส่งผลให้เกิดความทรงจำที่ไม่ดีกับการทานผัก และ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสาเหตุทางจิตใจ ให้เด็กปฏิเสธการทานผักได้
สาเหตุทางกายเหล่านี้ แม้ว่าจะลดน้อยลงเมื่อเด็กอายุมากขึ้นจากเงื่อนไขความต้องการอาหารของร่างกายที่เปลี่ยนไป แต่ก็สามารถเป็นจุดเริ่มต้นทางจิตใจ ที่ส่งผลให้เด็กปฏิเสธการทานผักตั้งแต่แรก
ซึ่ง หากแก้ไขไม่เหมาะสมทันท่วงที เด็กจะไม่สามารถปรับพฤติกรรมของตัวเองให้ยอมรับการทานผักได้ ส่งผลให้ยังใช้พฤติกรรมเดิม คือ ทานแต่โปรตีน และ อาหารที่ให้พลังงาน (แป้ง และ ไขมัน) จนเป็นสาเหตุของพฤติกรรมการเลือกทาน แต่เนื้อสัตว์ แป้ง และ ของทอด ซึ่งเป็นภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสมหลังจากพ้นวัยที่จำเป็นแล้ว
ข้อมูลอ้างอิงจาก
https://spoonuniversity.com/lifestyle/the-scientific-reason-why-you-hated-vegetables-as-a-kid
https://food.knoji.com/biological-reasons-for-why-children-hate-vegetables/
https://spoonuniversity.com/lifestyle/the-scientific-reason-why-you-hated-vegetables-as-a-kid
https://food.knoji.com/biological-reasons-for-why-children-hate-vegetables/
คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียวชนิดหนึ่ง ที่มีโปรตีนถึง 60% ของน้ำหนักตัว มีกรดอะมิโนครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ และ การที่คลอเรลล่า มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับเซลล์มนุษย์ ทำให้ สารอาหารที่อยู่ในคลอเรลล่า เป็นสารขนาดเล็ก เซลล์นำไปใช้งานได้ทันที ไม่ต้องย่อย ร่างกายของเด็กจึงไม่ต้องเสียพลังงานในการย่อย ซึ่ง ตรงตามเงื่อนไขความต้องการด้านร่างกายของเด็ก ตั้งแต่แรกเกิด
จึงทำให้เด็กที่ได้เริ่มทานคลอเรลล่าแล้ว จะมีความรู้สึกในเชิงบวกกับการทานคลอเรลล่าจากเงื่อนไขของร่างกาย ส่งผลให้สามารถทานต่อเนื่องได้ง่าย โดยจะยิ่งเห็นผลชัดเจนหากเริ่มทานตั้งแต่ เมื่อเด็กสามารถทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้
คลอเรลล่า ยังเป็นพืชที่มีปริมาณคลอโรฟิลด์สูง เป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่ช่วยย่อยอาหารจำพวกผัก จึงช่วยเตรียมความพร้อมระบบย่อยอาหารของเด็ก ให้สามารถย่อยผักได้ง่ายขึ้น เมื่อทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เด็กไม่มีอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง เมื่อเริ่มทานผัก อันเป็นสาเหตุเริ่มต้นของการปฏิเสธการทานผักได้
และ เนื่องจาก คลอเรลล่า เป็นพืชที่มีปริมาณคลอโรฟิลด์สูง จึงมีรสชาติคล้ายผักใบเขียว การที่เด็กมีความรู้สึกในเชิงบวกกับการทานคลอเรลล่า ส่งผลทำให้เด็กมีความรู้สึกในเชิงบวกกับอาหารที่มีรสชาติแบบผักใบเขียว ซึ่งเป็นสาเหตุ ของความรู้สึก "ชอบทานผัก" ของเด็กที่ทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง
โปรตีน วิตามิน และ แร่ธาตุสำคัญ ทีพบในคลอเรลล่า
นอกจากเป็นแหล่งโปรตีน และ คลอโรฟิลด์ ที่ร่างกายไม่ต้องย่อยแล้ว คลอเรลล่า มีความสามารถตามธรรมชาติ ในการช่วยร่างกายป้องกันและขับพิษ โดยเฉพาะโลหะหนัก และ กัมมันตรังสี จากสิ่งแวดล้อม ที่เมื่อเข้ามาฝังอยู่ในร่างกายของเด็กแล้ว จะลดทอนพัฒนาการที่ควรจะเป็นของเด็ก โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด
คลอเรลล่า ยังมีสารอาหาร "กรดนิวคลีอิก" ที่เป็นวัตถุดิบที่เซลล์ต้องใช้ในการ ซ่อม สร้าง DNA RNA ที่มากที่สุดในโลก ถึง 13% ต่อน้ำหนักตัว ช่วยให้เซลล์สามารถแบ่งตัวได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้การเจริญเติบโต ของอวัยวะ และ ระบบต่างๆของเด็ก เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ส่งผลดีต่อ ความแข็งแรงของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึง พัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็ก ที่มีการวิจัยพบว่า เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในกลุ่มที่ทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง
ตรรกะ ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกค้นพบ ผ่านการวิจัยด้านโภชนาการของคลอเรลล่า ที่มีอย่างต่อเนื่องตลอด 50 ปี ทั้งจาก ญี่ปุ่น เยอร์มัน สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้คลอเรลล่า ได้รับการยอมรับ ว่าเป็น "Super Food ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก" เป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่ทานได้ทุกวัน ต่อเนื่องได้ตลอดชีวิต มีคุณค่าต่อสุขภาพร่างกายผู้ทาน นานับประการ
ข้อมูลอ้างอิงจาก
หนังสือ Green Light for Health โดย นายแพทย์ Frank Liebke ชาวเยอร์มัน
หนังสือ Chlorella: Jewel of the Far East โดย นายแพทย์ Bernard Jensen ชาวอเมริกัน
หนังสือ คลอเรลล่า: พืชธรรมชาติที่ทรงคุณค่าทางยา โดย นายแพทย์เดวิด สทีนบล๊อก ประธานสถาบันวิจัยเวชศาสตร์การชะลอวัยแห่ง อเมริกา แปลโดย ดร.กิดานันท์ มลิทอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2530
หนังสือ Green Light for Health โดย นายแพทย์ Frank Liebke ชาวเยอร์มัน
หนังสือ Chlorella: Jewel of the Far East โดย นายแพทย์ Bernard Jensen ชาวอเมริกัน
หนังสือ คลอเรลล่า: พืชธรรมชาติที่ทรงคุณค่าทางยา โดย นายแพทย์เดวิด สทีนบล๊อก ประธานสถาบันวิจัยเวชศาสตร์การชะลอวัยแห่ง อเมริกา แปลโดย ดร.กิดานันท์ มลิทอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2530
หนูน้อยคลอเรลล่า Hazel (Chlorella Baby Hazel) ที่เริ่มทานคลอเรลล่า ตั้งแต่เริ่มหย่านม ตามคำแนะนำของ ดร. Bob McCauley นักโภชนาการชื่อดัง ชาวอเมริกัน (รูปเมื่อปี 2012)
ข้อมูลอ้างอิงจาก
http://blog.watershed.net/2012/04/30/when-can-children-begin-eating-chlorella-and-spirulina/
คลอเรลล่า คือ อาหารที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทาน เพื่อป้องกัน และ ช่วยลดอาการ "สมาธิสั้น (Attention deficit hyperactivity disorder หรือ ADHD)" ตั้งแต่เด็ก
โรคสมาธิสั้น เป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่หุนหันพลันแล่น ไม่มีสมาธิ และ ซน อาการนี้ มักตรวจเจอในเด็ก แต่สามารถคงอยู่จนถึงวัยรุ่น และ วัยผู้ใหญ่ได้ ซึ่งมีความเสี่ยง ที่ผู้มีอาการนี้จะมีชีวิตที่ล้มเหลวได้ จึงควรทำการป้องกัน หรือ รักษาโรคนี้ให้เหมาะสม ทันท่วงที สาเหตุทางกายของโรคนี้ ยังไม่เป็นที่ทราบชัด แต่คาดว่า อาจเกิดจากความไม่สมบูรณ์ทางพันธุกรรม รวมทั้งการ ที่สมองและระบบประสาทถูกทำให้เสียหาย จากทางกายภาพ หรือ ได้รับสารพิษ
คลอเรลล่า เป็นพืชธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติตามธรรมชาติ ในการขับพิษ โดยเฉพาะโลหะหนัก ซึ่งสามารถเข้าไปฝังตัวในสมอง และ คลอเรลล่า ยังสามารถช่วยร่างกายซ่อมแซม DNA RNA ลดความไม่สมบูรณ์ของพันธุกรรม
คลอเรลล่า จึงเป็นอาหาร ที่ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก แนะนำให้เด็กที่มีอาการสมาธิสั้นทาน เพื่อบำบัดอาการ ส่วนเด็กที่ยังไม่พบอาการสมาธิสั้นก็ทานเพื่อป้องกันได้เช่นกัน
ข้อมูลอ้างอิงจาก
http://www.adhdchildparenting.com/best-foods-for-adhd-children.php
http://adhdboss.com/superfoods-adhd/
http://blog.watershed.net/2011/09/28/the-natural-cure-adhd-add-they-dont-want-you-to-know-about/
https://www.life-saving-naturalcures-and-naturalremedies.com/natural-remedies-for-add-nutritional-deficiencies.html
http://www.fullhealthsecrets.com/diseases/adhd-add-attention-deficit-hyperactivity-disorder/
http://thescienceofeating.com/2014/12/31/foods-that-help-adhd/
http://www.adhdchildparenting.com/best-foods-for-adhd-children.php
http://adhdboss.com/superfoods-adhd/
http://blog.watershed.net/2011/09/28/the-natural-cure-adhd-add-they-dont-want-you-to-know-about/
https://www.life-saving-naturalcures-and-naturalremedies.com/natural-remedies-for-add-nutritional-deficiencies.html
http://www.fullhealthsecrets.com/diseases/adhd-add-attention-deficit-hyperactivity-disorder/
http://thescienceofeating.com/2014/12/31/foods-that-help-adhd/
**สำหรับผู้ใหญ่ คลอเรลล่า ยังสามารถช่วยลดอาการ เครียดเกินปกติได้ รายละเอียดตามลิงค์ด้านล่าง
https://sbntown.com/forum/threads/370175
มีการวิจัยพบว่า เด็กที่ทานคลอเรลล่า สามารถเจริญเติบโตได้สมบูรณ์ขึ้น อย่างชัดเจน
การจัดอาหารสำหรับเด็ก เป็นงานที่มีความละเอียดอ่อน เพราะส่งผลกระทบถึงพัฒนาการ มีการศึกษวิจัยเรื่องนี้มาตลอดหลายปี เป็นโครงการระดับชาติในหลายประเทศ เพื่อจะให้ได้อาหารที่จะช่วยให้เด็กเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ตามธรรมชาติอย่างสูงสุด
มีการทำวิจัยที่โรงเรียนประถมโอคุโนะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1961 ผู้วิจัยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ให้ทดสอบคลอเรลล่า กับ เด็กอายุ 10 ปี (ชั้น ป.5) โดย ผู้วิจัยได้แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยมีทั้งนักเรียนชายและหญิง กลุ่มหนึ่ง ให้ทานอาหารเสริมคลอเรลล่า วันละ 2 กรัม อีกกลุ่มหนึ่งทานอาหารตามปกติ ใช้เวลาทดสอบ 112 วัน (เกือบสี่เดือน) และ วัดส่วนสูงทุกวันที่ 21 ของเดือน และ ผลปรากฏว่า
เด็กผู้ชาย
กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีส่วนสูงเพิ่มขึ้น 2.5 ซม. ในขณะที่ กลุ่มที่ทานอาหารปกติ มีส่วนสูงเพิ่มขึ้น 1.5 ซม.
กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม ในขณะที่ กลุ่มที่ทานอาหารปกติ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 0.7 กิโลกรัม
เด็กผู้หญิง
ทั้งสองกลุ่ม มีส่วนสูงเพิ่มขึ้นเท่ากัน คือ 2.3 ซม.
กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.9 กิโลกรัม ในขณะที่ กลุ่มที่ทานอาหารปกติ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.2 กิโลกรัม
การเจริญเติบโต ของเด็กกลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีมากกว่าเด็กกลุ่มที่ไม่ได้ทานอย่างชัดเจน จากการทานคลอเรลล่า วันละ 2 กรัมในช่วงเวลาทดสอบไม่ถึง 4 เดือน นั้น พบว่าเป็นการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ จากความสมบูรณ์ของเซลล์ ที่ได้รับสารอาหารระดับเซลล์ที่สมบูรณ์ขึ้น
งานวิจัยนี้ จึงนำมาซึ่งข้อสรุปว่า เด็กกลุ่มที่ทานคลอเรลล่า ไม่ได้มีการเจริญเติบโตมากเกินกว่าปกติ แต่เป็นเด็กกลุ่มที่ไม่ได้ทานคลอเรลล่า ที่เจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ หรือ เรียกได้ว่า มีภาวะแคระแกรน จากอาหารที่ไม่สมบูรณ์ แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะถูกย่องว่า มีการจัดการด้านโภชนาการที่ดีอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้วก็ตาม
ข้อมูลจากงานวิจัย
Yamagashi, Y., et al.: "School children's growth and the value of chlorophyll", in: Nihon Iji Shimpo 1961, page 2169 (in Japanese)
Yamagashi, Y., et al.: "School children's growth and the value of chlorophyll", in: Nihon Iji Shimpo 1961, page 2169 (in Japanese)
หลังจากที่วิจัยผลจากการทานคลอเรลล่าของกลุ่มเด็ก จนได้ข้อสรุปชัดเจนว่า มีประโยชน์มากมายโดยที่ไม่พบอันตรายใดๆ จึงได้เริ่มมีการอนุญาติให้ทำการวิจัยผลจากการทานคลอเรลล่าของกลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์ในเวลาต่อมา
มีการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่ทานคลอเรลล่าขณะตั้งครรภ์ มี ภาวะเลือดจาง โปรตีนรั่ว และ อาการบวมน้ำ น้อยลงอย่างชัดเจน
การที่ร่างกายของผู้หญิงตั้งครรภ์ มีภาวะอ่อนแอผิดปกติ หมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทั้งแม่ และ ลูก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องหาทางป้องกัน
มีการวิจัย ในโรงพยาบาล Saiseikai ในจังหวัด นารา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2010 โดยแบ่งผู้หญิงตั้งครรภ์ 70 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรก ทานอาหารตามปกติ อีกกลุ่ม เริ่มทานคลอเรลล่า วันละ 6 กรัม ตั้งแต่สัปดาห์ ที่ 12-18 หลังตั้งครรภ์ จนถึงคลอด
พบว่า กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มี ภาวะเลือดจาง โปรตีนรั่ว และ อาการบวมน้ำ น้อยลงกว่ากลุ่มแรก อย่างมีนัยยะสำคัญ จนสามารถสรุปได้ว่า การทานคลอเรลล่า สามารถลดความเสี่ยง จาก ภาวะเลือดจาก โปรตีนรั่ว และ อาการบวมน้ำ ของผู้หญิงตั้งครรภ์ได้จริง
ข้อมูลงานวิจัยจากลิงค์
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20013055
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20013055
มีการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่ทานคลอเรลล่าขณะตั้งครรภ์ มี ปริมาณสารพิษไดอ๊อกซิน (dioxin) ในน้ำนม น้อยลง และ มีความเข้มข้นของสารภูมิคุ้มกัน ในน้ำนม มากขึ้นอย่างชัดเจน
น้ำนมแม่ ถือเป็นอาหารหลักเพียงอย่างเทียวของทารก คุณภาพของน้ำนมแม่จึงส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของทารก ที่จะเป็นรากฐานสุขภาพตลอดชีวิตของเด็ก
มีงานวิจัย ในโรงพยาบาล Saiseikai ในจังหวัด นารา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2007 โดย แบ่งผู้หญิงตั้งครรภ์ 35 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกทานอาหารตามปกติ และ อีกกลุ่มทานคลอเรลล่าตลอดช่วงเวลาตั้งครรภ์
เมื่อนำตัวอย่างเลือด และ น้ำนม มาตรวจสอบ พบว่า กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีปริมาณสารพิษไดอ๊อกซิน ทั้งในเลือด และ ในน้ำนม น้อยกว่า กลุ่มที่ทานอาหารปกติ อย่างมีนัยยะสำคัญ และ ยังพบอีกว่า กลุ่มที่ทานคลอเรลล่า มีสารภูมิคุมกัน IgA เข้มข้นกว่า กลุ่มที่ทานอาหารปกติ อย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน จนสามารถสรุปได้ว่า การทานคลอเรลล่า ไม่เพียงแค่ ช่วยลดปริมาณสารพิษไดอ๊อกซิน ในน้ำนมได้จริงเท่านั้น ยังช่วยเพิ่ม สารภูมิคุ้มกัน IgA ในน้ำนมได้จริงเช่นกัน
ข้อมูลงานวิจัยจากลิงค์
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/17472477
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/17472477
จากการวิจัยผลจากการทานคลอเรลล่าในเด็กอายุต่างๆกัน รวมไปถึงการวิจัยของกลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์ ที่ไม่พบผลเสียจากการทานคลอเรลล่าแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม กลับพบผลที่ดีมากมาย และผลที่ดีเหล่านี้ ไม่ได้ถูกพบแค่ในกลุ่มเด็กและผู้หญิงตั้งครรภ์เท่านั้น แต่ถูกพบในการวิจัยของกลุ่มอื่นๆ ทุกเพศ ทุกวัย โดยปราศจากผลเสีย ด้วยเช่นกัน
และ การที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการวิจัยคลอเรลล่า ที่วิจัยผลด้านโภชนาการของคลอเรลล่าออกมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีการทานคลอเรลล่ามากที่สุดในโลก จนถึงปัจจุบัน
ทำไม การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นต้องเลือก "คลอเรลล่า ที่ปลอดภัย" เท่านั้น
คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียว ที่มีความสามารถในการดักจับโลหะหนักสูง ดังนั้น คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนของโลหะหนัก ก็จะดักจับโลหะหนัก ในแหล่งน้ำนั้นๆ มาเก็บไว้ที่ตัวเอง
ดังนั้น เมื่อทานคลอเรลล่า ที่มีการปนเปื้อน โลหะหนัก ก็เท่ากับร่างกายได้รับพิษโลหะหนักเพิ่มจากคลอเรลล่า แทนที่คลอเรลล่าจะมาขับล้างพิษโลหะหนักในร่างกายออกไป
โดยหลักการนี้ การทานคลอเรลล่า ที่ไม่สามารถการันตี "ความปลอดภัย" ได้ จะยิ่งทำให้ร่างกายสะสมพิษมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะในสถานการณ์วิกฤติหรือไม่ ก็ตาม
การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเลือก คลอเรลล่า เป็นออร์แกนิกส์ 100% เพื่อการันตี ว่า จะไม่มีสิ่งพิษปนเปื้อนเข้ามาสู่ร่างกายเรา แทนที่จะมาช่วยร่างกายขับพิษ
โดยที่ คลอเรลล่า ที่ได้รับการการันตีว่า เป็น ออร์แกนิกส์ 100% นั้น ถือว่าเป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่สะอาด ปลอดภัย สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย และ สามารถทานต่อเนื่องได้ ตลอดชีวิต