Organic Chlorella by Febico อาหารเสริมออแกนิกซ์ ที่คนยุคนี้ต้องกินให้ได้ก่อนจะเสียใจภายหลัง
โดย iDnOuSe4
iDnOuSe4
#1
Organic Chlorella by Febico อาหารเสริมออแกนิกซ์ ที่คนยุคนี้ต้องกินให้ได้ก่อนจะเสียใจภายหลัง

ในเมื่อปัจจัยเสียงที่ปนเปื้อนสารพิษในสิ่งแวดล้อม ใกล้ตัวมากมาย แค่ "เครียด" ก็สะสมพิษแล้ว อ่านเพิ่มเติมได้จาก แน่ใจหรือ? เพราะสารพิษรุนแรงและใกล้ตัวกว่าที่คุณคิดไว้เยอะมาก
.

และการสะสมพิษเป็นต้นเหตุหลักสำคัญ ค่อยๆ เกาะกินร่างกายไป จนในที่สุด จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ที่สิ้นหวังทางการแพทย์อีกมากมาย
ดังนั้น การมองหาอะไรบางอย่างเพื่อมาช่วยร่างกายในการต่อสู้กับมัน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอันดับต้นๆ
ซึ่ง อะไรบางอย่างนั้นคือ Organic Chlorella จาก Febico นั้นเอง



Organic Chlorella Tablet คือ สาหร่ายคอเรลล่าแห้งในรูปเม็ด เพื่อสะดวกต่อการรัปประทาน แต่ยัง
คงคุณค่าทางอาหารและคุณประโยชน์ครบถ้วน 100% ไม่ใช่สารสังเคราะห์ จึงไม่เป็นอันตรายต่อตับและไต แต่
เป็นผักขนาดจิ๋วตามธรรมชาติ ที่บรรจุสารอาหารหน่วยเล็กที่สุด ที่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้เลย ไม่ต้องย่อย
พร้อมมีสารออกฤทธิ์กำจัดสารพิษ และสารออกฤทธิ์อื่นที่ทำงานเสริมกัน ทำให้สาหร่ายคอเรลล่า เป็นอาหาร
ตามธรรมชาติที่ช่วยล้างสารพิษในร่ายกายได้ดีทีสุด เมื่อรับประทาทคอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง จะสังเกตุเห็นการ
เปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของการขับถ่ายประจำวัน อย่างทันตา



ราคาเพียง 990 บาท เท่านั้น
พิเศษ สั่งซื้อภายใน 1000 ขวดแรก ลดเหลือ 847 บาท ทันที
สอบถามเพิ่มเติม
Line Id: wuttichai115504
Email: [email]organchlorellathaifc@gmail.com[/email]
โทร : 0868566670
https://www.facebook.com/organic.chlorella.thai/



สารพิษคือสารที่ให้โทษแก่ร่ายกาย หากมีอยู่ ควรกำจัดออกให้เร็วที่สุด

การล้างพิษ คือ กระบวนการกำจัดสารพิษ ในร่างกาย เมื่อร่ายกายมีสารพิษ แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ ให้สารบาง
อย่างแก่ร่ายกาย เพื่อไปสนับสนุนระบบกำจัดสารพิษในร่างกาย หรือ ให้สารบางอย่างที่มีฤทธิ์กำจัดสารพิษ
ได้แก่ร่ายกาย

ทั้งหมดนี้คือความสามารถของสาหร่ายคอเรลล่า นั้นคือ ล้างสารพิษที่ตกค้างในทางเดินอาหาร และให้
สารอาหารที่เป็นทรัพยากรหลักของระบบกำจัดสารพิษของร่างกาย ทำให้กำจัดสารพิษตกค้าง ได้ตั้งแต่ต้นจน
จบ ของกระบวนการตกค้างของสารพิษ

ร่ายกายมนุษย์เป็นเสมือนภาชนะที่มีสารไหลเข้าไหลออกอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบัน มีความรู้ที่ใช้จำแนกว่า
สารใดเป็นโทษสารใดเป็นประโยชน์ ไว้ให้ใช้เลือกหลีกเลี่ยงสารที่เป็นโทษไม่ให้เข้าสู่ร่ายกายได้มากมาย
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสารเป็นโทษ ปนเปื้อนมาในสารอื่น โดยที่เราไม่รู้ตัวอยู่มากด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น สาร
พิษจากอุตสาหกรรมที่ปนเปื้อนมาในห่วงโซ่อาหาร หรือ แม้แต่รู้ตัวว่ามีสารเป็นโทษก็เลือกหลีกเลี่ยงไมได้อยู่
มาก เช่น มลพิษฝุ่นควนจากท่อไอเสียที่กระจายอยู่ในอากาศ

ดังนั้นมนุษย์ จึงมีทั้งอวัยวะที่ใช้ป้องกันสารที่ให้โทษแก่ร่าย และ อวัยวะที่ใช้กำจัดสารที่ให้โทษแก่ร่าย
กาย สารให้โทษบางอย่าง หากร่ายกายไม่สามารถป้องกันได้ และ/หรือ ไม่สามารถกำจัดออกได้ภายในเวลา
หนึ่งๆ จะส่งผลเสียต่อกระบวนการอื่นๆ ของร่างกาย จนเสียชีวิตได้ ยกตัวอย่างเช่น การกินยาฆ่าตัวตาย การถูก
งูกัด เป็นต้น มีอีกกรณีหนึ่งที่รุนแรงมากกว่านั้น คือ การได้รับสารให้โทษปริมาณน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะ จะไม่
แสดงอาการรุนแรงทันที หากอวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่งทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จะเกิดภาวะสารพิษตกค้าง
ในร่างกาย

ภาวะสารพิษตกค้างในร่ายกาย เกิดจากการทำงานที่ไม่เต็มประสิทธิภาพของระบบป้องก้นและกำจัด
สารพิษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดภาวะนี้สารพิษจะเริ่มทำงานให้โทษแก่ร่างกายทันที สามารถเกิดขึ้นได้
ง่ายมาก เช่น ภาวะเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การกินผักและผลไม้น้อย เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่คนวัย
ทำงานต้องประสบพบเจออยู่ทุกวัน ยากมากที่จะหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด อาการปวดหัว อ่อนเพลียง่าย ภูมิแพ้ ผื่น
ขึ้นตามตัว หน้าหมองคล้ำ ผิวแห้ง หรือแม้แต่สิว ก็อาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งให้เรารู้ถึงภาวะสารพิษตกค้าง
ซึ่งหากเป็นเพราะเหตุนี้ แล้วเราเข้าใจว่า การกินหรือทายาแล้วอาการนั้นๆ หายไป เราก็อาจประมาท กลับไปใช้
ชิวิตแบบเดิมที่เป็นสาเหตุให้เราได้รับพิษมา โดยยังไม่ได้กำจัดสารพิษที่ตกค้างเดิมในร่ายกายออกก่อน จะนำ
ไปสู่ภาวะสารพิษตกค้างสะสมในร่างกาย

เมื่อร่ายกายเริ่มถึงภาวะนี้ร่ายกายจะยังคงแสดงอาการเหมือนภาวะ
สารพิษตกค้าง แต่จะแสดงลักษณะเป็นๆ หายๆ อยู่เนืองๆ จนกระทั่งสารพิษนั้นๆ สะสมปริมาณมากพอ จึงจะเริ่ม
แสดงอาการเจ็บป่วยตามตำแหน่งที่สารพิษนั้นสะสมอยู่ เช่น ปวดท้องเนื่องจากลำไส้อักเสษ เป็นต้น
หากอาการเหล่านี้ไม่ได้รับการรักษาที่ทันกาลหรือรักษาไม่ลึกถึงต้นเหตุ จะทำให้อาการป่วยพัฒนา ไป
จนกลายเป็นมะเร็งได้ นอกจากอาการป่วยหนัก ที่แสดงให้รู้แล้ว ยังมีอาการที่ไม่แสดงให้รู้ เนื่องจากบางอวัยวะ
มีการทนต่อการถูกทำลาย หรือ สามารถสร้างเซลล์ทดแทนได้ เช่น เรายังคงรู้สึกปกติอยู่ได้แม้ว่าไตถูกทำลาย
ไปแล้ว 70 % หรือ เซลล์ที่ตับถูกทำลายด้วยแอกกฮอล์ จะมีการสร้างเซลล์มาทดแทนเสมอ เป็นต้น
นอกจากตับและไตเป็นอวัยวะหลักในการกำจัดสารพิษแล้ว ยังทำหน้าที่สำคัญอื่น ในระบบอื่นๆ ของ
ร่างกายอีกด้วย เช่น ตับทำหน้าที่สร้างกระบวนการเมตาบอลิซึม หรือ เผาผลาญอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน ตับ
สร้างน้ำดี ที่ใช้ย่อยไขมัน ไตช่วยปรับสมดุลน้ำและผลิตฮอร์โมนหลายชนิด เป็นต้น เมื่อตับและไตทำงานไม่ได้
เต็มประสิทธิภาพ จึงเป็นผล ให้กระทบระบบอื่นๆ อีกด้วย

ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุด เพื่อป้องกันร่ายกายไม่ให้เข้าสู่ภาวะสารพิษตกค้างสะสม คือช่วยให้ 2 ระบบข้าง
ต้น ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ให้ได้มากที่สุด เช่น ไม่ทานอาหารที่เป็นพิษแก่ร่างกายไม่อยู่ในสถานที่ที่เต็มไป
ด้วยมลพิษ เพื่อช่วยระบบป้องกันสารพิษของร่างกาย และ/หรือ ทานผักและผลไม้ให้เพียงพอต่อความต้องการ
ของร่างกาย เพื่อช่วยระบบกำจัดสารพิษของร่างกาย และสาหร่ายคอเรลล่าสามารถช่วยได้ทั้ง 2 ระบบ นั้นคือ

1. ช่วยป้องกันสารพิษไม่ให้เข้าสู่ระบบเลือด โดยกำจัดสารพิษที่ตกค้างที่ระบบทางเดินอาหาร
สาหร่ายคอเรลล่าบรรจุกรดอะมิโน โปรตีนสายสั้น ชนิดที่สามารถจัดสารพิษ อยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ซีสทีน (กึ่ง
จำเป็น) สามารถกำจัดสารพิษโลหะหนัก และ กลูตามีน (กึ่งจำเป็น) ช่วยในการทำงานของสมองและเป็นพาหะ
พลังงานที่สำคัญที่สุดในเนื้อเยื้อเมือกของลำไส้เล็กและระบบคุ้มกัน ซึ่งกลูตามีนและกรดกลูตามิก เป็นแหล่ง
พลังงานสำคัญของเซลล์ในทางเดินอาหาร และมีความสำคัญต่อการสังเคราะห์โปรตีน กรดอะมิโนทั้งสอง ส่วน
ในการสร้างผนักกั้นเยื่อเมือกในลำใส้ ทำให้สารพิษจากลำไส้ไม่สามารถซึ่มผ่านไปยังกระแสโลหิตหรือสมองได้
แม้แต่โปรตีนสายยาวขึ้นที่ทำหน้าที่จำเพาะ เช่น เมทัลโลไธโอนิน ซึ่งมีการจับโลหะหนักอย่างรวดเร็ว และมี
ความเป็นไปได้ว่ามีการสร้างเมทัลโลไธโอนีนชนิดต่างๆ เพื่อจับโลหะต่างๆ แล้วขับออกจากร่างกายผ่านทาง
ปัสสาวะหรืออุจจาระ (A Green Light for Health Fitness with the natural growth factor C.G.F ,35)
นอกจากนี้คอเรลล่ายังมีสารทตุยภูมิที่สามารถจับกับสารพิษประเภทโลหะหนัก คือ สปอโรพอลเลนิน
การป้องกันสำหรับมนุษย์และพืช (พอลิเมอร์ของกลุ่มแคโรทีนอย) อยู่ที่ผนังของสาหร่ายป้องกันไม่ให้สาหร่าย
แห้ง และยินยอมให้ขนส่งออกซิเจนจากผิวหน้าด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งในสาหร่าย การป้องกันการสูญเสียน้ำ
นี้ ทำให้มีข้อดีสำคัญเท่าเทียมกันสำหรับพืชและสัตว์ที่มีการบริโภคสาหร่าย ก็คือมีการป้องกันมลพิษจากสิง
แวดล้อม การทดสอบทางวิทยาศาตร์ในสัตว์ แสดงให้เห็นว่าการช่วยเหลือของมัน จะมีการจับกับวัสดุที่มีการ
ทำลายอย่างถาวรแล้ว จากนั้นมีการขับออกจากร่ายกายผ่านทางอุจจาระ ซึ่งไม่เพียงแต่โลหะหนักเท่านั้น แต่ยัง
รวมถึงยากำจัดศัตรุพืช ยาฆ่าแมลง และมลพิษทางด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่นไดออกซิน ที่มีความเป็นพิษสูง
หรือ ออร์แกโนคลอไรด์บอนด์ คลอร์ดีโคน ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สารนี้มีความเป็นพิษมากกว่าดีดีที (A
Green Light for Health Fitness with the natural growth factor C.G.F ,32)
นอกจากผลทางตรงที่ช่วยกำจัดสารพิษในลำใส้แล้ว สาหร่ายคอเรลล่ามีสารปฏิชีวนะตามธรรมชาติ ซึ่ง
มีผลโดยตรงกับจุลินทรีย์ที่ไม่ดีในลำไส้ และให้ผลทางอ้อมกับการกำจัดสารพิษในลำไส้ด้วย สารนั้นคือ คลอ
เรลแลน/คลอเรลลิน สารปฏิชีวนะจากธรรมชาติ มีความสามารถในการต่อด้านแบคทีเรียที่เป็นพิษ และช่วย
เหลือแบคทีเรียที่ดีในลำใส้ (A Green Light for Health Fitness with the natural growth factor C.G.F ,27)
คอเรลล่าช่วยขับเคลื่อนแมโครฟาจหรือเซลล์ทำลายจุลชีพของระบบป้องกันของร่ายกาย เซลล์เหล่านี้จะมีการ
ทำลายสารแปลกปลอมรวมทั้งโลหะหนัก แล้วขนส่งไปยังอวัยวะขับถ่ายผ่านระบบน้ำเหลือง เยื้อเมือกของลำไส้
เป็นที่อยู่ของปราการแรกของการป้องกันของระบบภูมิคุ้มกัน และภาษาในางการแพทย์เรียกว่า GALT (เนื้อเยื้อ
น้ำเหลืองบริเวณทางเดินอาหาร) ก่อนที่จะมีการสัมผัสกันระหว่างอาหารกับลำไส้ อาหารจะสัมผัสกับเยื้อนี้ก่อน
เพื่อตรวจสอบว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธสารอาหาร ด้วยวิธีการนี้เองสารอาหารหลากหลายที่มีการบริโภคมี
โอกาสในการกระตุ้นกระบบภูมิคุ้มกันของลำไส้ ร่วมกับผลของระบบภูมิคุ้มกันจากการปรากฏของแบคทีเรียนับ
พันล้านตัว บนผิวเยื่อเมือกลำใส้ "การรับรู้" ของระบบภูมิคุ้มกันที่ได้รับการสนับสนุนจาก CFG ช่วยลดความไว
ต่อสารแปลกปลอมที่เพิ่มขึ้น กระตุ้นกระบวนการรักษาในกรณีที่มีการเน่าเปื่อยและการอักเสบของเยื้อเมือก
ของลำไส้ แบคทีเรียดีในลำใส้ช่วยย่อยอาหาร แบบพึ่งพาอาศัยกัน และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้อง
กับเยื่อบุใลำใส้อยู่อย่างต่อเนื่อง จำนวนแบคทีเรีย lacto-bacilli ที่เพียงพอ จะสร้างกรดแลคติดที่มีส่วนช่วยให้
มีการดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น และมีอิทธิพลในเชิงบวกกับสภาพแวดล้อมภายในลำไส้ จำเป็นอย่างยิ่งต่อการดูด
ซึมวิตามิน แร่ธาตุที่ร่ายกายต้องการในปริมาณน้อย การได้รับยาปฏิชีวนะจะทำให้จำนวนลดลง ซึ่ง CGF จะ
ช่วยเพิ่มอัตราการฟื้นฟูแบคทีเรียด้วย พรีไบโอติก (prepiotic) คือ อาหารซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่สามารถย่อย และ
ไม่ถูกดูดซึมได้ในระบบทางเดินอาหาร ทั้งกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก แต่จะถูกย่อยด้วยแบคทีเรียบริเวณใน
ลำไส้ใหญ่ โดยจะกระตุ้นการทำงานและส่งเสริมการเจริญของจุลินทรีย์โปรไบโอติก (probiotic) มีประโยชน์ต่อ
สุขภาพ จัดเป็นอาหารในกลุ่ม functional food
สาหร่ายคอเรลล่า มีคลอโรฟิล 1.5-4 กรัมคลอโรฟิลต่อ 100 กรัม น้ำหนักแห้ง (A Green Light for
Health Fitness with the natural growth factor C.G.F ,30) ซึ่งนับว่าเป็นอัตราส่วนต่อน้ำหนักที่สูงที่สุดใน
โลก มีผลในการล้างพิษและสนับสนุนการทำงานของลำไส้ และเป็นสารต้านการกลายพันธุ์ (ป้องกันการทำลาย
ข้อมูลทางพันธุกรรม) ป้องกันโรคมะเร็งตับ ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง เป็นยาบำรุงหัวใจให้มีความสมดุล
และควบคุมความดันโลหิต เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสียหายของเยื้อหุ้มเซลล์จากปฏิกิริยา
ออกซิเดชั่น (ของไขมัน) สารต้านแบคทีเรีย และ ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของนิ่วในไต

2. ช่วยระบบกำจัดสารพิษ โดยให้สารอาหารที่เป็นทรัพยากรหลัก สำหรับตับในการใช้กำจัดสารพิษที่
เข้าสู่กระแสเลือด และมีกรดอะมิโนอื่นๆ รวมถึงวิตามินจำนวนมาก ที่ช่วยบำรุงตับและไต
เมื่อกรดอะมิโน ชนิดที่สามารถจับโลหะหนัก สามารถดูดซึมเข้าสู่ตับได้ทางกระแสเลือด ดังนั้น หากมีสารพิษ
หลุดเข้ามาจากลำไส้ แล้วตกค้างที่นี่ กรดอะมิโนดังกล่าวก็จะเข้าไปจัดการทันที นอกจากนั้นยังมี เมไทโอนิน
(จำเป็น) ฟื้นฟูตับและไต สำคัญต่อหัวใจและกล้ามเนื้อลาย กลูตาไธโอน เป็นเอนไซม์ในการล้างพิษสำคัญ มี
ปริมาณสูงมากในตับ นักวิทยาศาตร์ชาวอินเดียพบว่าคลอเรลล่าช่วยเพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนของเซลล์ และ
เป็นไปได้ว่าอาจมีการช่วยเพิ่มเอนไซม์อื่นๆ ที่มีความสำคัญในกระบวนการล้างพิษด้วยเช่นเดียวกัน (A Green
Light for Health Fitness with the natural growth factor C.G.F ,34)

นอกจากสารอาหารและสารออกฤทธิ์ที่ทำงานเสริมกันจนสามารถกำจัดสารพิษในร่ายกายได้อย่างมี
ประสิทธิภาพแล้ว ผลการวิจัยยังพบความสามารถอื่นๆ ของคอเรลล่าดังนี้ เป็นผู้ช่วยและให้ทรัพยากรสำรองแก่
ร่างกาย เพื่อใช้ซ่อมแซมเซลล์ รวมถึงป้องกันเซลล์ไม่ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง มีสารต้านอนุมูลอิสระตาม
ธรรมชาติ และกรดนิวคลี ในปริมาณสูง ช่วยยับยั้งการแก่ก่อนวัย

ด้วยความสามารถของสาหร่ายคอเรลล่าที่กล่าวไปข้างต้น จึงมีผลของร่างกาย หลังรับประทานคอเรล
ล่าอย่างต่อเนื่อง ดังบันทึกที่ได้เผยแพร่ไว้ เช่น มีผู้ป่วยชาวญี่ปุ่นที่ได้รับประทานข้าวที่ปนเปื้อนสารแคดเมียม ส่ง
ผลให้ได้รับพิษจากสารแคดเมีย (โรคอิไต อิไต) และมีผู้ป่วยจำนวนมากเสียชีวิตจากการได้รับสารพิษอย่าง
เฉียบพลันจากโลหะหนัก แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ได้รับการให้คลอเรลล่าในช่วงหลายวันติดต่อัน พบว่าช่วย
ระงับอาการปวดและกลับฟื้นตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเก็บตัวอย่างอุจจาระของผู้ป่วยที่ได้รับสารแคดเมียม
หลังจากที่ได้รับประทานคลอเรลล่าแล้ว พบว่ามีการขับถ่ายสารแคดเมียมออกมากับอุจจาระในระดับสูง (Effect
of chlorella on fecal and urinary cadmium excretion in itai-itai) นักวิจัยทางการแพทย์ของญี่ปุ่นจึงได้มี
ความเห็นในทางเดียวกันว่าการใช้คลอเรลล่าเป็นการรักษาทางธรรมชาติที่สามารถกำจัดสารพิษได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ หรือแม้ประทั่ง เคยทหารผ่านศึกชาวญี่ปุ่น รับประทานคอเรลาเพื่อฟื้นฟูร่ายกาย จนเห็นผลดีอย่าง
น่าประหลาดใจ จนกระทั่งเปิดเว็บไซร์รวบรวมผลการรับประทานคอเรลล่าไว้ เป็นต้น

ดังนั้น Organic Chlorella Tablet คือ อาหารตามธรรมชาติที่ช่วยล้างสารพิษในร่ายกายได้ดีทีสุดเมื่อ
รับประทาทคอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง จะสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของการขับถ่ายประจำวัน อย่างทันตา
Organic Chlorella Tablet จาก Febico ที่เราเลือกมา ขึ้นชื่อว่าเป็นคอเรลล่าที่มีคุณภาพมากที่สุดใน
โลก เพราะ เลี้ยงในสายน้ำแร่ธรรมชาติ อุดมไปด้วยแร่ธาตุจากธรรมชาติ กลางแจ้ง และสิ่งแวดล้อมที่บริสุทธิ์
ทำให้ได้คอเรลล่ามีอสารอาหารต่อน้ำหนักมากถึง 20% ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงสุดเท่าที่โลกทำได้ และ เป็นอาหาร
ที่มีฤทธิ์กำจัดสารพิษ โดยที่ตนเองไม่ได้ปนเปื้อนสารพิษด้วย นอกจากเรื่องคุณภาพของตัวคอเรลล่าแล้ว ยังมี
เรื่องเทคโนโลยี Extraction หรือ เทคโนโลยีการทำให้ผนังเซลล์แตกร้าว โดยไม่ทำลายสารอาหารภายใน
เซลล์ ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้จากเดิม 40% เป็น 80%

**หมายเหตุ เนื่องจาก Chlorella มีสารออกฤทธิ์ที่ไปกำจัดจุลินทรีไม่ดีในลำไส้ พร้อมกระตุ้นการ
เคลื่อนที่ของลำไส้ ดังนั้น เมื่อรับประทานในช่วงแรกๆ อาจถ่ายบ่อยเป็นพิเศษอันเนื่องมาจากการปรับสมดุลใน
ลำไส้ใหม่ อย่างไรก็ตามการปรับสมดุลในอาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 1-2 วัน หากใครมีอาการไม่ปกติ
สามารถแก้ไขได้โดยการลดปริมาณรับประทานคอเรลล่านั้นเอง สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊า ควรปรึกษาแพทย์
ก่อนรับประทาน นอกจากนี้ไม่ควรรับประทานพร้อมอาหารที่มีสาร ไคโตซาน Chitosan ที่มีอยู่ในอาหารจำพวก
เปลือกกุ้ง กั้ง และกระดองปู



ชุมชนคนรักสุขภาพ ด้วย Organic Chlorella จาก Febico จากมุมมองของผู้รับประทานจริงต่อเนื่องเป็นประจำ ในประเทศไทย

FACEBOOK : www.facebook.com/organic.chlorella.thai
LINE : wuttichai115504
EMAIL : [email]organchlorellathaifc@gmail.com[/email]

TEL : ศูนย์ 8 หก 856 หก 670 (ป๊อปครับ)
iDnOuSe4
#2
แต่เดิมเป็นคนที่ปฏิเสธการกินอาหาร "เสริม " อย่างแรง เพราะ มีความเชื่อว่ากินอาหารให้ครบตามปกติก็พอ และถ้ายังกินอาหารให้ครบปกติไม่ได้ ออกกำลังกายไม่ได้ พักผ่อนเพียงพอไม่ได้ ไม่รู้ว่าต้องกินอาหารเสริมเท่าไหร่จึงจะพอ เพราะ ผมต้องการแค่ให้ร่ายกายปกติ ไม่ได้มีความจำเป็นต้องแข็งแรงเว่อร์อะไร



จนกระทั่งได้ศึกษา อ่านงานวิจัย เกี่ยวกับสาหร่ายคลอเรลล่า เพื่อหาว่าทำไมสาหร่ายคลอเรลล่าจึงได้รับการยอมรับ จนขึ้นชื่อว่าเป็น “Super Food” อย่างแพร่หลายทั่วโลก

หลังศึกษาข้อมูลมาอย่างเข้มข้นสูงมาก ต้องยอมรับ สาหร่ายคลอเรลล่าตัวนี้จริงๆ เนื่องจาก ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการที่ต้องใช้คำว่า “มหัศจรรย์ธรรมชาติ” ของมัน ทำให้มันได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถ “ล้างพิษ” ตามธรรมชาติได้ดีที่สุดในโลก โดยปริยาย

และด้วยความพิเศษนี้เอง เมื่อบริษัทชั้นนำเรื่องการวิจัยและพัฒนาอย่าง Febico นำมาเลี้ยงในสายน้ำแร่ธรรมชาติ ที่มีสิ่งแวดล้อมที่บริสุทธิ์ และมีเทคโนโลยีทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารจากสาหร่ายคลอเรลล่าได้สูงมาก ก่อนบรรจุเป็นสาหร่ายคลอเรลล่าอัดเม็ดที่ยังคงคุณค่าไว้ 100% เต็ม ทำให้ผมเลือกให้มันเป็นอาหารเสริมตัวแรก

ทำไมหน่ะหรือ ก็เพราะว่า การ "ล้างพิษ" นี้ จะทำให้ผมได้สิ่งที่ต้องการ นั่นคือ “ร่างกายที่ปกติ” (ยกเว้นอุบัติเหตุและเชื้อโรคที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้) เพราะ ร่างกายที่ปกติคือร่ายกายที่ไม่มีสิ่งไม่ปกติ และ ผมยอมรับว่าผมบังคับให้ใช้ชีวิตแบบหลีกเลี่ยงสิ่งไม่ปกติไม่ได้ ดังที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ดังนั้น จากการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากๆ แล้ว ประกอบกับการศึกษา และอ่านวิจัยข้างต้น จึงได้เห็นผลการศึกษาร่ายกายที่สะสมพิษไว้มากแล้ว นำมาเปรียบเทียบกับร่ายกายตนเอง
จึงสรุปได้ว่า ยังไงอาหารเสริมตัวนี้ ก็ได้คำตอบเดียวว่า “ต้องกิน”

นอกเหนือจากนั้นแล้ว การกินอาหารเสริมของผมเองมีอุปสรรคเรื่องการจ่ายเงินเพิ่ม ที่ผ่านมาแม้ว่าสนใจอาหารเสริมบำรุงร่ายกายอยู่หลายตัว แต่ก็ไม่สามารถตัดใจซื้อได้ อันเนื่องมาจากกว่า “กลัวไม่คุ้ม” เพราะยังดูแลร่ายกายตัวเองให้ “ปกติ” ไม่ได้เลย จนกระทั่งได้เจอสาหร่ายคลอเรลล่าที่ทำให้ร่ายกาย “ปกติ” ได้ก่อน การจ่ายเงินเพื่อซื้อจึงจะคุ้ม อีกอย่างเมื่อนำราคาของอาหารเสริมตัวนี้มาหารต่อวันดูแล้ว เหลือราคา 30 กว่าบาทต่อวัน ซึ่งราคานี้เป็นราคาสำหรับอาหาร 1 มื้อ (อาหารบางมื้อ และกาแฟสดยังแพงกว่าเลย) จึงเป็นราคาที่ควรบริหารเงินให้จ่ายไหว

จากการศึกษาข้อมูลและงานวิจัย จนมีผลที่ได้รับกับตัวเองจนตระหนักว่าต้องกินอาหารเสริมตัวนี้ให้ได้ทุกวันแล้ว ยังได้ศึกษาอาการเจ็บป่วย และโรคร้าย ที่เกิดขึ้น จึงทำให้ระลึกได้ถึงช่วงเวลาตอนเด็กที่คอยดูแลให้คุณตากินยา และไปเฝ้าคุณตาที่โรคพยาบาล ได้ว่าเมื่อตอนแก่ ไม่ต้องการนำเงินที่หามาได้ทั้งชีวิตของตนเอง (หรือคนที่เรารัก) ไปจ่ายให้ค่ายา และค่ารักษาตัวเอง อย่างไม่มีทางเลือก ดังนั้น จึงเลือกจ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารเสริมที่ทำให้ร่ายกายเราปกติตอนนี้ ดีกว่า

เมื่อได้ข้อสรุปแบบไม่มีข้อสงสัยใดๆแล้ว จึงได้เริ่มกินสาหร่ายคลอเรลล่านี้ และเฝ้าสังเกตุอาการของร่ายกายว่าเป็นไปตามสรรพคุณตามข้อมูลที่ได้ศึกษาหรือเปล่า ผ่านไปประมาณ 1 เดือน พบว่าร่ายกายค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก สำหรับตนเองแล้วสามารถแบ่งเป็นสองระยะ ได้แก่ระยะ ร่ายกายกำลังล้างพิษ และ ร่ายกายเริ่มปราศจากสารพิษ

โดยสำหรับร่ายกายผมแล้วช่วงร่ายกายกำลังล้างพิษ ช่วงแรกจะมีอาหารหิวน้ำมากกว่าเดิม ปัสสาวะบ่อยกว่าเดิม ผ่านไปได้สักอาทิตย์จะสังเกตุเห็นว่าการอุจจาระสม่ำเสมอ และรู้สึกโล่งท้องมากๆ จนเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตื่นเช้าได้ไม่ง่วง เหงา หาว นอน ไม่เพลีย และกระฉับกระเฉงกว่าแต่ก่อนเยอะมาก และร่ายกายไวต่อสารพิษ เช่น ผงชูรส หรือ อาหารที่ปนเปื้อน จึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มปราศจากสารพิษแล้ว แม้ว่าร่ายกายดีขึ้นมากแล้วแต่ สารพิษใกล้ตัวมาก และพร้อมที่จะเข้าสู่ร่ายกายได้ตลอดเวลา จึงต้องทานเป็นประจำทุกวัน เพราะ นอกจากฟังชั่นล้างพิษแล้ว สาหร่ายคลอเรลล่า ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยซ่อมแซม และบำรุงร่างกายอีกเยอะมากด้วย ไม่ว่าจะเป็น กรดอะมิโน 20 กว่าชนิด รวมถึงวิตามินที่สำคัญๆ มากมายอีกด้วย
iDnOuSe4
#3
ที่ผ่านมาหลายคน รู้และเข้าใจโทษของการได้รับสารพิษเข้าสู่ร่ายกายอย่างดี เป็นจำนวนมาก จึงเลือกหลีกเลี่ยง และป้องกันร่ายกายของตนเอง ด้วยการไม่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงอันตรายจากมลพิษทางอากาศ ป้องกันการดูดซึ่มสารพิษทางผิวหนัง และเลือกไม่รับประทานอาหารที่อาจปนเปื้อนสารพิษ อย่างไรก็ตามมีพิษอีกอย่างหนึ่งที่ใกล้ตัวมาก และยากเหลือเกินที่วัยทำงานอย่างเรา จะหลีกเลี่ยงมันได้ นั้นคือ พิษจากคาร์บอนไดออกไซด์ อันเป็นผลมาจากความเครียด เป็นอย่างไร ตามอ่านจากบทความนี้ได้เลยครับ



(ขอบคุณรูปภาพจาก http://p3.isanook.com/ho/0/ud/0/3317/b_02653_002.jpg)



วัยทำงานอย่างพวกเราๆ รู้ดีว่า ความเครียดจากการทำงาน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
นั้น เพราะ ในช่วงชีวิตการทำงาน ย่อมมีบางงานที่ยาก แต่ต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ในระยะเวลาจำกัด อยู่เสมอ และหากเราตัดสินใจจะทำให้ได้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพาร่างกายเราเข้าสู่อาการอันเกิดจากความเครียดนั้นเอง

อาการของร่างกาย เมื่อร่างกายเราเข้าสู่ภาวะเครียด เชื่อว่าทุกท่านที่ผ่านช่วงนั้นมา คงพอสังเกตุอาการของตนเองและจำได้ นั้นคือ อาการอ่อนเพลีย หมดแรง ง่วง หาว เป็นต้น อาการเหล่านี้เป็นผลลัพธ์ของพฤติกรรมของร่างกายในขณะที่เราเครียดอยู่ ซึ่งเราไม่ค่อยจะสังเกตุได้ทัน (หากได้อ่านบทความนี้แล้ว ลองไปสังเกตุอาการดู) นั้นคือ เราจะหายใจสั้น และถี่ ถอนหายใจบ่อยมาก ไม่หิวน้ำ ไม่ปวดปัจสาวะ ไม่ปวดอุจจาระ หัวใจเต้นเร็ว พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่กลไกของร่างกายทำงานหนักเพื่อส่งทรัพยากรไปให้อวัยวะส่วนต่างๆ ที่ต้องใช้ทำงาน โดยเฉพาะสมองและตา ให้ทันต่อความต้องการใช้งาน


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.yellowpages.co.th/yellowlifestyle/TH/content/PublishingImages/2013_SUKANYA/Nov/Sleepy/01.jpg)



ซึ่งหากอวัยวะทุกส่วนที่ทำงาน ไม่มีความผิดปกติ ผลที่สามารถสังเกตุได้ของร่างกายขณะนั้น ของกลไกนี้คือ ร่ายกายได้รับออกซิเจนน้อยลง ปล่อยก๊าซอื่นๆ ที่ร่ายกายไม่ต้องการ (คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน อื่นๆ) ได้น้อยลง อันเกิดจากการหายใจสั้นและถี่ ร่างกายเราจึงสร้างกลไก การถอนหายใจ ให้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หากเราร่างกายเราเกิดภาวะนี้ (หากสังเกตุการถอนหายใจ เราจะสูดหายใจลึกมากก่อน 1 ครั้งก่อนถอนออก)

ร่ายกายมนุษย์มีเซลล์ประสาทอยู่รอบๆ ลำใส้ถึง 70% ของร่ายกาย และสามารถส่งสัญญาณไปหากันและกันได้โดยตรง อย่างไรก็ตามมนุษย์สามารถใช้ใจข่มสัญญาณเหล่านั้นได้ เช่น การอดอาหาร อั้นปัจสาวะ อั้นอุจจาระ เป็นต้น กลไลอย่างเดียวกันนี้เอง หากลำไส้ส่งสัญญาณมาในช่วงเวลาที่เกิดอาการเครียดอยู่ อาจส่งผลให้เราไม่หิวน้ำ ไม่ปวดปัจสาวะ ไม่ปวดอุจจาระ เป็นต้น นอกเหนือจากการอาการที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอาการอื่นๆ สำหรับบางคน เช่น การให้ร่ายกายอยู่ในท่าเดิมๆ เป็นเวลานานๆ ด้วยเช่นกัน

ช่วงเวลาที่ร่ายกายทนต่อภาวะเครียดนี้ได้ ขึ้นกับความแข็งแรงของร่ายกายของแต่ละคน เมื่อร่ายกายทนต่อไม่ไหว ร่ายกายจะส่งสัญญาณบางอย่างให้เรารับรู้ เพื่อสั่งให้เราหยุดและไปพักผ่อน เติมพลัง เช่น อาการปวดหัว อันเกิดจากเลือดข้นหนืด อาการอ่อนเพลีย หมดแรง ง่วงและหาว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเป็นประจำหลังจากอาการเครียด ซึ่งจากข้างต้น เราได้รู้ว่าภาวะเครียดส่งผลให้เกิดการสะสมของก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ในร่ายกายได้


(ขอบคุณรูปภาพจาก https://fonnichakoon.files.wordpress.com/2014/02/21012010_01.jpg)



สารพิษ คือ สารให้โทษแก่ร่าย ดังนั้น ร่ายกายไม่ควรมีอยู่ หากมีอยู่ต้องขจัดออกให้เร็วที่สุด
ร่ายกายมนุษย์มีความมหัศจรรย์สูงมาก หนึ่งในความมหัศจรรย์นั้นคือ กลไกจากกำจัดสารพิษออกจากร่ายกาย เพราะ ร่ายกายมนุษย์เป็นเสมือนภาชนะที่ที่สารไหลเข้าไหลออกอยู่ตลอดเวลา และมนุษย์ไม่สามารถคัดเลือกรับเฉพาะสารที่เป็นประโยชน์ในสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยุ่ ให้แก่ร่ายกายได้เลย ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ การหายใจ เพราะ ในอากาศมีทั้งสารที่ให้โทษแก่ร่ายกาย และสารที่เป็นประโยชน์ การสูดอากาศเพื่อหายใจ เราสูดเอาอากาศขณะนั้นเข้าไปในร่ายการก่อน ร่ายกายมนุษย์จึงวิวัฒน์การให้มีอวัยวะในการกำจัด และขจัด จากให้โทษเหล่านั้นออกมาจากร่ายกายให้ได้ปริมาณต่อเวลาหนึ่งที่เพียงพอให้ร่ายกายปกติอยุ่ได้ด้วย

สำหรับกรณีนี้ การถอนหายใจ คือกระบวนการกำจัด และขจัดสารพิษออกจากร่ายกายตามธรรมชาติ ดังนั้น หากเราต้องถอนหายใจ แสดงว่าร่ายกายเรากำลังป้องกันการได้รับพิษจากการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อันเนื่องจากการการได้รับออกซิเจนน้อยจากการหายใจแบบสั้นและถี่นั้นเอง

การสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไชด์นี้ หากมองเผินๆ จะเห็นว่าเป็นโทษแก่ร่ายกายได้น้อย เพราะ ผลของมันอาจเป็นแค่ การปวดหัว วิงเวียนศรีษะ หรือ กรณีสะสมปริมาณมากและรวดเร็ว อาจเกิดการหมดสติได้ แต่ที่เป็นโทษต่อร่ายกายที่แท้จริง นั้นร้ายแรงกว่าที่คิดเยอะ นั้นเพราะ ตำแหน่งที่มันสะสมคือกระแสเลือด

กระแสเลือด คือ ของไหลที่บรรจุทั้งสารที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ไหลไปทั่วร่ายกายเป็นรอบๆ ผ่านการให้แรงดันจากการเต้นของหัวใจ การสะสมของก๊าชคาร์บอนไดออกไชด์จะสะสมอยุ่ที่เส้นเลือดดำในรูป เส้นเลือดดำซึ่งเป็นตำแหน่งที่ส่วนใหญ่บรรจุสารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่ายกายไม่ว่าจะเป็นสารพิษอื่นๆ เพื่อเตรียมลำเลียงไปที่ตับเพื่อกำจัดและปล่อยออกจากร่ายกาย นั้นคือ หากมีการสะสมมากเท่าใด ยิ่งทำให้การลำเลียงสารพิษอื่นๆ ไปกำจัดและปล่อยช้าขึ้นเท่านั้น


(http://www.santannaturalmedicine.com/2015/03/03/spring-cleaning-a-guide-to-detoxification/
)



ซึ่งการลำเลียงสารพิษไปกำจัดและปล่อยได้ช้านี้เอง คือ โทษที่แท้จริง ซึ่งรุนแรงมาก แต่อาจถูกมองข้ามไปได้อย่างง่ายได้ เพราะ กลไกการกำจัดสารพิษของร่างกายออกแบบให้กำจัดและปล่อยสารพิษ ได้ในอัตราส่วนคงที และ/หรือ ปริมาณคงที่ ต่อเวลา ขึ้นกับชนิดของสารพิษนั้นๆ ดังนั้น การกำจัดและปล่อยสารพิษสามารถทำได้เป็นรอบๆ ถ้ากำจัดและปล่อยไม่หมด จะถูกปล่อยเข้าสู่ร่ายกายอีกรอบ เพื่อเตรียมลำเลียงมากำจัดและปล่อยอีกครั้งในรอบถัดไป หากไม่สามารถลำเลียงไปกำจัดได้ สารพิษจะไปสะสมตามอวัยวะต่างๆ

สารพิษที่เก็บอยุ่ในรูปสารละลาย ที่ละลายน้ำได้ เช่น ไอนิโคติน หรือสารเคมีอื่นๆ จะมีส่งผลต่อ ข้อต่อ เลือด เนื้อเยื้อ และ กล้ามเนื้อ
สารพิษที่เก็บอยุ่ในรูปสารละลาย ที่ละลายในน้ำมัน เช่น อนุภาค โฮร์โมน โลหะหนัก จะมีผลต่อ เซลล์ไขมัน ไขกระดูก ตับ และ ระบบประสาทส่วนกลาง


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://detoxknowhow.com/sites/default/files/webowner/heavy_metal_source.jpg)



เมื่อร่ายกาย ไม่สามารถกำจัดสารพิษออกได้หมดในระยะเวลาๆ หนึ่งๆ จะส่งผลให้เกิดภาวะสารพิษตกค้างในร่ายกาย จนถึงสารพิษตกค้างสะสมในร่างกาย (ขึ้นกับปัจจัยการรับประทานอาหารและใช้ชีวิตของแต่ละคน) จะส่งผลข้างเคียง และ สัญญาณของ ภาวะดังกล่าว ได้ จากอาการผิดปกติ และอาจเป็นเหตุให้เกิดโรคดังต่อไปนี้

arthritis/joint pain ไขข้อ
autoimmune disorders โรคภูมิทำลายตัวเอง
cardiovascular disease โรคหัวใจและหลอดเลือด
chronic fatigue อ่อนเพลียเรื้อรัง
constipation อาการท้องผูก
diabetes โรคเบาหวาน
diarrhea โรคท้องร่วง
fibromyalgia (a chronic disorder characterized by widespread musculoskeletal pain, fatigue, and tenderness in localized areas.)
headaches ปวดหัว
homone imbalance สมดุลฮอร์โมนผิดปกติ
inflammatory disorder ความผิดปกติของการอักเสบ
IBS (Irritable bowel syndrome (IBS)) ลำใส้แปรปรวน
neurolagic disorders ความผิดปกติของระบบประสาท
obesity/overweight โรคอ้วน / น้ำหนักตัวมากเกิน



(ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.atlasdrugandnutrition.com/wp-content/uploads/2014/04/toxic-body.png)



ที่ร้ายกว่านั้นคือ เมื่อร่ายกายส่งสัญญาณมาแล้ว หลายคนแก้ด้วยวิธีกินยาระงับอาการ แต่ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุด้วย ซึ่งปรากฏการ์ณเหล่านี้ เกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย ยกตัวอย่างเช่น เครียดจากทีทำงาน แล้วดูดบุหรี ตกเย็นดื่มเหล้า หรือ เครียดจากที่ทำงาน ตกเย็นกินปิ้งย่าง หรือของหวานต่างๆ เป็นต้น หรือแม้แต่ เครียดในขณะนั่งรถประจำทาง ขับรถ เดิน ข้างถนนในเมืองใหญ่ ทั้งหมดนี้อาจก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในร่ายกายได้ จนก่อให้เกิดโรคตามอาการเหล่านั้นได้ทั้งสิ้น

ดังนั้น พิษ และ สารพิษ ใกล้ตัวกว่าที่เราคิดกันเยอะมาก แม้ว่าหลายคนพยายามป้องกันต้นเองด้วยวิธีต่างๆ นานา แต่หากเราเผลอ เราพลาด หรือ จำเป็นต้องเครียดจริงๆ พิษและสารพิษเหล่านั้น ก็เตรียมทำงานอยุ่ทุกเวลาด้วยเช่นกัน
iDnOuSe4
#4
จากบทความเรื่อง แน่ใจหรือ? เพราะสารพิษรุนแรงและใกล้ตัวกว่าที่คุณคิดไว้เยอะมาก ทำให้เราเข้าใจว่าพิษรุนแรงและใกล้ตัวมากแค่ไหน จนเกิดคำถามที่ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะดูแลร่ายกายให้ปราศจากพิษได้อย่างไร จึงเป็นที่มาของการเขียนบทความนี้ ซึ่งก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกระบวนการของความเป็นพิษในร่ายกายเสียก่อน ดังต่อไปนี้

เราดูแลร่ายกายให้ปราศจากพิษได้อย่างไร
มนุษย์ไม่สามารถทำให้สิ่งแวดล้อมบริสุทธ์ 100% ก่อนเข้าไปอาศัยอยู่ได้ ร่ายกายมนุษย์จึงมีพัฒนาการอวัยวะต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันจนได้ ระบบป้องกันสารพิษ และกำจัดสารพิษ ร่างกายเราเป็นเสมือนภาชนะที่มีสารไหลเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การที่ร่ายกายจะปราศจากพิษได้นั้นคือ อัตราการปล่อยสารพิษเข้าสู่ร่ายกาย ต้องเท่ากับอัตราการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่ายกายนั้นเอง

เมื่อพิษเข้าสู่ร่ายกายผ่านกระบวนการดูดซึมสารพิษ กระจายสารพิษ และกำจัดสารพิษ ตามลำดับ แต่ละขบวนการขึ้นกับอัตราความเร็วและปริมาณ หากเราต้องการดูแลร่ายกายให้ปราศจากพิษได้ จึงจำเป็นต้องปรับให้ 3 ขบวนการนี้ ทำงานเพื่อลดปริมาณการได้รับสารพิษ และนำพิษออกจากร่างกายได้มาก
(อ้างอิงจาก บทความ พิษจลนศาสตร์และพิษพลศาสตร์ ของคณะแพทย์ศาตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)

1. ลด การดูดซึมสารพิษ ร่ายกายสามารถดูดซึมสารพิษได้ 2 ทาง คือ ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ และ การฉีดสารพิษเข้ากล้าม ฉีดสารพิษใต้ผิวหนัง รับประทาน เหน็บทวารหนัก หรือซึมผ่านผิวหนัง การฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ พิษจะทำงานได้เต็มปริมาณทันที เราไม่สามารถแก้ไข อะไรได้ หนทางเดียวที่จะป้องกันได้คือ ไม่ฉีดพิษเข้าทางหลอดเลือดดำ แต่การลดการดูดซึมสารพิษที่เราต้องโฟกัสให้มาก นั้นคือการดูดซึมที่ค่อยๆ ซึม ผ่านเข้าไป นั้นเพราะว่า สารพิษอาจปนเปื้อนมากับอาหาร การสูดอากาศที่ปนเปื้อนมลพิษ หรือแม้แต่การได้รับสารพิษจากการทาครีมบำรุงผิว ที่ถูกดูดซึมทางผิวหนัง ด้วย วิธีการลดการดูดซึม สารพิษประเภทนี้ จึงต้องตรวจสอบอาหารที่เรารับประทานให้ไม่มีพิษก่อนรับประทานเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกินผลิตภัณฑ์แบบออแกนิค ที่ไม่ใช้สารเคมี ในกระบวนการ การนำอาหารมาล้างให้สะอาด แช่ในน้ำด่างเพื่อลดความเป็นพิษ ก่อนนำไปปรุงอาหาร การใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ และการดูแลตรวจสอบ
ร่างกายตนเอง และครีมบำรุงผิว ไม่ให้สารพิษเข้าสู่ร่ายกายได้ ทั้งหมดนี้จะช่วยป้องกันร่ายกายจากการได้รับสารพิษ ด้วยวิธีการลดการดูดซึมสารพิษ

2.ลด การกระจายสารพิษ เพื่อป้องกันกระจายสารพิษไปตกค้างในอวัยวะต่างๆ ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติทางเคมีของสารพิษและปริมาณเลือด ที่ไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ปัจจัยสำคัญที่บ่งถึงการกระจายสารพิษคือ protein binding (โปรตีนที่สามารถจับตัวกับสารพิษได้) ดังนั้น การลดกระจายของสารพิษ คือต้องดูแลร่ายกาย ให้มีปริมาณ protein binding ในปริมาณที่เพียงพอ

3.เพิ่ม การกำจัดสารพิษ ขึ้นอยู่กับความ เข้มข้นของสารพิษในเลือด ร่ายกายสามารถกำจัดสารพิษได้ 2 รูปแบบ คือ
กำจัดได้ในอัตราส่วนคงที่ และ กำจัดได้ในปริมาณคงที่ นี้ขึ้นกับประเภทของสารพิษนั้นๆอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญในการ กำจัดสารพิษได้แก่ ตับและไต สารพิษบางตัวจะถูกกำจัดออกโดยตับหรือไตอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ส่วนใหญ่สารพิษจะถูกกำจัดออกมาทั้งสองทาง
ดังนั้น การเพิ่มการกำจัดสารพิษ ต้องลดความเข้มข้นของสารพิษในเลือด และบำรุงตับและไตให้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

จึงสามารถสรุปได้ว่าเราดูแลร่ายกายให้ปราศจากพิษได้ จากปัจจัยการใช้ชีวิต และ ปัจจัยการรับประทานอาหาร ลดความเสี่ยงต่อการดูดซึมสารพิษ จากการหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ การเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีการปนเปื้อนสารพิษ เพิ่มการดูแลร่ายกาย จากการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ซึ่ง โภชนาการเพื่อดูสุขภาพ สำหรับการดูแลร่ายกายให้ปราศจากพิษ
อาหารที่ดีต่อการดูแลร่ายกายให้ปราศจากพิษ คือ อาหารที่ไม่ปนเปื้อนสารพิษ ที่ช่วยขจัดสารพิษอื่นๆ ที่อาจปนเปื้อนและตกค้างในทางเดินอาหาร และมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงอวัยวะในการกำจัดสารพิษ การพักผ่อนให้เพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ร่ายกายแข็งแรง


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.dmc.tv/images/OtherBB/hea8.jpg)




ด้วยเหตุนี้เอง การดูแลร่างกายให้ปราศจากพิษจึงสำคัญกว่าที่เคย เนื่องจากเราหลีกเลี่ยงให้พิษเข้าสู่ร่างกายได้ยากกว่าเดิม มีสารพิษปนเปื้อนที่สิ่งแวดล้อม มากกว่าเดิม และอาการของร่ายกายหลังได้รับพิษเป็นอาการที่เราอาจมองข้ามได้ง่าย ซึ่งยาระงับอาการเหล่านั้นก็หาซื้อได้ง่าย อีกทั้งอวัยวะหลักที่ใช้กำจัด และปล่อยสารพิษ มีความทนทานต่อการเสียหาย เช่น เซลล์ตับสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้หลังจากได้รับพิษจากแอลกอฮอล์ และ เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่าง ปกติแม้ว่าไตถูกทำลายไปแล้วกว่า 70% เป็นต้น
iDnOuSe4
#5


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.massattack.com.au/img/women_coffee_cup.jpg)



หากคุณตื่นตอนเช้าด้วยการลากตัวเองออกจากเตียงพร้อมโหยหากาแฟอย่างด่วน หรือหากไม่ได้กาแฟ จะทำงานเหม่อลอย ไม่กระฉับกระเฉง ง่วง หาว อยู่ตลอดเวลา
เราคิดว่าคุณควรอ่านบทความนี้ เพราะร่ายกายของคุณกำลังส่งสัญญาญเตือนบางอย่าง ให้ล้างพิษออกจากร่ายกายเสียบ้าง ดังต่อไปนี้


(ขอบคุณรูปภาพจาก https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/02/21/46/022146fc81a3df29ff32c8de95c8f263.jpg)


1. อยากน้ำตาลบ่อยๆ
คุณพบว่าตนเองอยากขนมหวานอยู่บ่อย นั้นหมายความว่าร่างกายคุณไม่ได้ผลิตพลังงาน (metabolism) อย่างเพียงพอที่ควรจะเป็น


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://thebiostation.com/wp-content/uploads/2014/01/bio-resource_hrt-means-more-energy-400x210.jpg)


2. อ่อนเพลียต่อเนื่อง
คุณพบว่า ทำงานเท่าเดิมต่อเหนื่อยเร็วกว่าคนอื่นๆ เป็นสัญญาณว่าร่ายกายต้องการล้างขยะที่สะสมอยู่ออกไปบ้าง


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://media3.s-nbcnews.com/j/streams/2014/July/140724/1D274906433743-today-belly-bloat-ivill-140724.today-inline-med.jpg)


3. ท้องอืด และมีลมในกระเพาะ
คุณพบว่าท้องอืด มีแก็สในกระเพาะเยอะ ทั้งๆที่ไม่ได้เปลี่ยนวิถีการกิน นั้นเพราะแบคทีเรียที่ไม่แข็งแรงทำให้เกิดการท้องอืดหรือก๊าซเจริญเติบโต ในร่ายกายที่เป็นพิษ


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2014/10/29/1414583024126_wps_1_05_Apr_2013_France_Person.jpg)


4. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด หรือวิตกกังวล
เมื่อร่ายกายเป็นพิษ การผลิตสารสื่อประสาทความรู้สึกที่ดี(serotonin) ของเรา จะลดลง สารพิษอื่นๆ เช่นแอมโมเนียที่สร้างขึ้นจากปรสิต
ก่อให้เกิดความกังวลและปัญหาทางอารมณ์อื่นๆ เช่นภาวะซึมเศร้า


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://i173.photobucket.com/albums/w50/SApel/IMG_0830.jpg)


5. บวมน้ำ
ร่ายกายอาจพยายามที่จะเจือจางสารพิษ ให้อันตรายลดลง ทำให้เกิดการบวมน้ำ


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://img.webmd.com/dtmcms/live/webmd/consumer_assets/site_images/articles/health_tools/migraine_overview_slideshow/photolibrary_rf_photo_of_woman_with_a_migraine.jpg)


6. ไมเกรน
สารพิษจำนวนมากเก็บไว้ในร่างกายที่มีการระคายเคืองต่อระบบประสาทส่วนกลาง หากไม่กำจัดสารพิษออก จะเกิดอาการปวดหัวและพัฒนาไปจนถึงไมเกรนได้


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://i3.mirror.co.uk/incoming/article3162477.ece/ALTERNATES/s615/Caffeine-Addiction.jpg)


7. เสพติดคาเฟอีน
คุณไม่สามารถผ่านวันๆ หนึ่งไปได้ หากร่ายกายไม่ได้รับคาเฟอีน ใช่หรือไม่ คาเฟอีน มีฤทธิ์กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็ว ดังนั้นความดันเลือดจะสูงขึ้น ทำให้เลือด ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้มากขึ้น แต่แลกด้วยการไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วร่ายกายเราส่ง สัญญาณให้พักผ่อนเพื่อซ่อมแซมอะไรบางอย่างอยู่ หรือที่ร้ายกว่านั้น หากเลือดเต็มไปด้วยพิษ พิษจะยิ่งกระจายตัวเร็วขึ้นอีกด้วย

หากคุณมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรตรวจสอบร่ายกายได้แล้วว่า คุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับพิษโดยที่ไม่รู้ตัวอยู่หรือไม่ จากบทความนี้ แน่ใจหรือ? เพราะสารพิษรุนแรงและใกล้ตัวกว่าที่คุณคิดไว้เยอะมาก

อ้างอิงจากบทความเรื่อง 7 Signs of a Toxic Body จากเว็บไชร์ http://www.atlasdrugandnutrition.com/about-us/
(ที่มา http://www.atlasdrugandnutrition.com/reasons-cleanse/)
iDnOuSe4
#6
สารพิษใกล้ตัวจริง จากสถิติ และบทความ จากนักวิจัย ที่น่าเชื่อถือ ดังต่อไปนี้


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.thaipan.org/sites/default/files/Untitled-72.PNG)



เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thailand Pesticide Alert Network: Thai-PAN) แถลงผลการเฝ้าระวังการตรวจสารเคมีกำจัดศัตรูพืชปนเปื้อนในผักที่คนไทยนิยมบริโภคมากที่สุด 10 ชนิด ประกอบไปด้วยคะน้า ผักกาดขาว กะหล่ำปลี แตงกวา ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะพริกแดงกะเพรา กวางตุ้ง และผักบุ้งจีน โดยเก็บตัวอย่างผักจากโมเดิร์นเทรด ซึ่งประกอบไปด้วยห้างเทสโก บิ๊กซี แมคโคร และผักที่มีตราเครื่องหมาย Q รับรอง และจากตลาดสดจำนวน 4 แห่ง ได้แก่ตลาดไท ปากคลองตลาด สี่มุมเมือง และตลาดบางใหญ่ ปรากฏว่าพบโดยภาพรวมมีผักที่มีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน (ค่าเอ็มอาร์แอล) ของกระทรวงสาธารณสุขสูงถึง 22.5%

จากการตรวจสอบพบว่า ผักที่พบการปนเปื้อนมากที่สุดคือกะเพรา พบว่าสารพิษเกินมาตรฐานถึง 62.5% ถั่วฝักยาวและคะน้าพบ 32.5% ผักบุ้งจีน กวางตุ้ง และมะเขือเปราะพบตกค้าง 25% แตงกวาและพริกแดงพบค่อนข้างน้อยคือ 12.5% ส่วนผักกาดขาวปลี และกะหล่ำปลีไม่พบการตกค้างเลย

จากบทความเรื่อง ไทยแพนพบสารพิษตกค้างในผักเกินมาตรฐานถึง 22.5% กะเพราเจอหนักสุด 62.5%


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.thaipan.org/sites/default/files/styles/content_picture/public/field/image/1932702_623739574394904_7128258129390731273_o.jpg?itok=ePg3mA3S)



ศ.สมพนธ์ วรรณวิมลรักษ์และคณะ มหาวิทยาลัยมหิดล สำรวจผักคะน้า 117 ตัวอย่างใน 12 ตลาดที่จังหวัดนครปฐม พบว่ามีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน 29.1% ในบรรดาสารพิษที่พบเกินมาตรฐานมากที่สุด 6 อันดับแรก มีคาร์โบฟูราน ซึ่งเป็นสารพิษร้ายแรงที่ไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนรวมอยู่ด้วย

นักวิชาการคณะนี้ยังได้ทำการทดลองการล้างผักคะน้าด้วยวิธีการต่างๆ โดยพบว่าแต่ละวิธีการให้ผลในการล้างสารแต่ละชนิดได้ไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่นในสารโพรฟีโนฟอส การล้างด้วยด่างทับทิม น้ำส้มสายชู และโซเดียมไบคาร์บอเนตได้ผลน้อยมาก (ล้างออกได้ 20-40%) แต่ล้างด้วยน้ำไหล จะล้างออกได้ครึ่งหนึ่ง ในขณะที่สารไซเปอร์เมทริน สามารถล้างออกครึ่งหนึ่งด้วยน้ำส้มสายชู แต่ล้างไม่ออก(ล้างออกได้เพียง 10-20%)ด้วยด่างทับทิม โซเดียมไบคาร์บอเนต และน้ำไหล

จากบทความเรื่อง 29.1% ผักคะน้ามีสารพิษตกค้างเกินมาตราฐานการล้างออกด้วยวิธีการที่เหมาะสมที่สุดยังล้างออกได้เพียงครึ่งเดียว
iDnOuSe4
#7


การกำจัดสารพิษ (elimination) การกำจัดสารพิษของร่างกายมี 2 แบบ

1. สารพิษส่วนใหญ่จะถูก กำจัดแบบ first order คือ "อัตราการกำจัดสารพิษขึ้นอยู่กับความ เข้มข้นของสารพิษในเลือด" หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สารพิษออกจากร่างกายเป็น "สัดส่วน คงที่" ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ป่วยได้รับสารพิษเข้าไป 1000 หน่วยร่างกายสามารถกำจัดสารพิษได้ชั่วโมงละ 10% จำนวนสารพิษที่เหลืออยู่แต่ละ ชั่วโมงจะเท่ากับ 1000,900,810...

2. ส่วนการกำจัดสารพิษแบบ zero order นั้นคือ "อัตราส่วนการกำจัดสารพิษไม่ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารพิษ" แต่สารพิษถูกกำจัดออกไปด้วย"ปริมาณคงที่" ในตัวอย่างเดียวกันสารพิษจะถูกกำจัดชั่วโมงละ 10 หน่วย สารพิษที่เหลืออยู่จะเท่ากับ 1000,990,980... สารพิษที่ถูกกำจัดแบบ zero order มีไม่มากนักได้แก่ alcohol, aspirin และ phenytoin สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะสารพิษในร่างกายมีมากเกินกว่าที่เอ็นไซม์ของตับจะ ทำลายสารพิษได้จึงเกิดภาวะ saturation ของเอ็นไซม์นั้น


(ขอบคุณรูปภาพจาก http://tmedweb.tulane.edu/pharmwiki/lib/exe/fetch.php/pk.png)



ในร่างกายนั้นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญในการ กำจัดสารพิษได้แก่ ตับและไต สารพิษบางตัวจะถูกกำจัดออกโดยตับหรือไตอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ส่วนใหญ่สารพิษจะถูกกำจัดออกมาทั้งสองทาง ตับจะเปลี่ยนสารพิษด้วยขบวนการแรกคือ redox reaction หลังจากนั้นจึงจะ conjugate ออกมาเป็นสาร polar ซึ่งถูกขับออกมาได้ง่าย ความสามารถของตับ ในทางกำจัดสารพิษขึ้นอยู่กับความสามารถของเอ็นไซม์ที่ทำลายสารพิษและปริมาณเลือดที่นำสารพิษสู่ตับ


(ขอบคุณรูปภาพจาก https://s3.amazonaws.com/AFD/are-you-toxic-get-cleaned-out-wi.jpg)



ส่วนสารพิษที่ถูกขับออกทางไตนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ คือ glomerular filtration rate สารพิษที่ถูกกรองออกมาจะต้องไม่จับกับ protein สารพิษที่ถูกดูดซึมกลับ (tubular reabsorption) เข้าไปในร่างกายนั้นจะต้องอยู่ในรูปไม่แตกตัว (unionized) ภาวะนี้จะขึ้นอยู่กับความเป็นกรดด่าง ของปัสสาวะและ pK ของยานั้นๆ นอกจากนี้ไตยังมีกลไก active transport ที่จะขับยาออกมาหรือดูดซึม ยากลับไปในไตได้ tubular secretion ในกลุ่มสารพิษที่เป็นกรดเหมือนกันหรือด่างเหมือนกันจะใช้ระบบ กำจัดสารพิษที่ tubule แบบเดียวกัน (organic acids or bases transport) ดังนั้นถ้ามีสารพิษที่เป็น กรดหรือด่างเหมือนกันสองชนิด อาจทำให้การขับสารพิษตัวหนึ่งตัวใดถูกรบกวนได้ half-life ของการกำจัดสารพิษเป็นตัวบ่งอัตราความเร็วในการกำจัดสารพิษคือ ระยะเวลาที่ปริมาณ สารพิษถูกขับถ่ายหรือทำลายไปครึ่งหนึ่ง ในทำนองเดียวกันกว่าที่ร่างกายจะกำจัดสารพิษได้หมด จะต้องใช้เวลา 3-5 half-lives ของการกำจัด สารพิษนั้น ส่วนปริมาณการกำจัดสารพิษขึ้นกับค่า clearance ซึ่งมีหน่วยเป็นปริมาตร ของเลือดต่อเวลาเช่น ลิตรต่อชั่วโมงเป็นต้น ค่า clearance มีความสำคัญในการบ่งถึงปริมาณการกำจัดสารพิษนั้นๆ ออกจากร่างกาย

ขอบคุณบทความจาก พิษจลนศาสตร์และพิษพลศาสตร์
ข้อมูลอ้างอิง ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี Ramathibodi Poison Center คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ดูกระทู้ทั้งหมดในชุมชน จาก  Downtown ดูกระทู้ในหมวด ดูกระทู้ในหมวดย่อย
กระทู้แนะนำจากการคัดเลือกอัตโนมัติ
1
2
3