Umbrella On Tour Japan ;รีวิวกันแดด Umbrella กันแดดที่มีคนถามถึง พูดถึงมากที่สุดตอนนี้ รีวิวการใช้งานจริงชั่วโมงต่อชั่วโมงวันต่อวัน จากดินแดนอาทิตย์อุทัย
โดย s
s
#1
[SIZE="3"]


Umbrella ...เพราะ ไม่ใช่กันแดดธรรมดา แต่มันคือ อัมเบรลล่า กันแดดตัวสุดท้ายของคุณ



ก่อนจะเริ่มรีวิวกันขอนำข้อมูลพื้นฐาน เกี่ยวกับครีมกันแดด Umbrella มาให้ได้อ่านกันก่อนนะคะ

[SIZE="3"]กันแดดที่ เบา และ สบายหน้าที่สุดเท่าที่คุณเคยลองมา ป้องกันปัญหาหน้าหมองระหว่างวัน ผิวหน้าที่คล้อยจะดูยกกระชับขึ้นทันทีภายใน 15 นาที ชัดเจนจนสังเกตเห็นได้ หน้าเนียนใสจน เงา รูขุมขนเล็กลง
แป้ง/รองพื้น ติดทนยาวนานอย่างที่คุณไม่เคยเจอมาก่อน และที่สำคัญ ผิวจะค่อยๆเรียบเนียนขึ้น เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง


คุณสมบัติที่บอกไว้ข้างหลอด

Non Greasy,
All day long oil controls,
Makeup Artist's choice for lasting makeup,
Protecting while nourishing with natural herbs extracts

=> ไม่มัน
=> ควบคุมความมันยาวนานตลอดวัน (โดยปราศจากส่วนผสมของแอลกอฮอ)
=> makeup artist's เลือกใช้ เป็นกันแดดที่ช่วยทำให้เครื่องสำอางติดทนนาน
=> ปกป้องแสงแดดพร้อมกำบำรุงไปในตัว (ไม่ต้องลงครีมบำรุงก่อน)

ข้อมูลจากเอกสารโบรชัวของครีมกันแดด Umbrella (น้องร่มสีฟ้า)

Umbrella “ถ้าทาถูกวิธี” จะเป็นกันแดดที่ผิวคุณหลงรักที่สุดตลอดไป


  • ช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า โดยปราศจากส่วนผสมของแอลกอฮอล์ พร้อมอุดมไปด้วย สารบำรุงชั้นเลิศที่ผิวต้องการ
  • และด้วยเทคโนโลยีพิเศษ ที่สร้างเสมือนแผ่นฟิล์มมาห่อหุ้มผิว ทำให้ผิวคุณดูเรียบเนียนรูขุมขนกระชับ และยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ไม่ให้ผิวดูหยาบกร้าน และ มี lifting effect (ยกกระชับใบหน้า) เห็นผลทันทีภายใน 15 นาที ผิวหน้าคุณจึงดู เนียน กระชับ เรียบ และทำให้ดูใสและเป็นเงา โดยไร้ความมันส่วนเกิน
  • และอีกหนึ่งคุณสมบัติที่พิเศษมาก คือ Umbrella จะช่วยให้รองพื้น หรือ แป้ง ที่คุณทา ติดทนยาวนานตลอดทั้งวัน อย่างที่ไม่เคยมีไพร์เมอร์ หรือ เบสตัวไหนที่จะช่วยในการเกาะยึดเครื่องสำอางให้อยู่บนใบหน้าได้ยาวนานขนาดนี้


เทคนิคพิเศษในการทา Umbrella ที่ควรรู้ก่อนใช้
UMBRELLA THE HOW TO


เคล็ดลับการทา Umbrella ให้หน้าเด้ง ใส ยาวนานตลอดวัน คืออะไร ลองอ่านกันดูค่ะ

1. ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้า และ มือ ให้แห้งสนิท เพราะ Umbrella นั้น คือกันแดด ที่ใช้น้ำบริสุทธิ์ เป็นตัวกักเก็บความชุ่มชื้น แทนน้ำมัน ดังนั้น หน้าเปียก มือเปียก หรือเหงื่อออก ก็ต้องซับให้แห้งสนิทก่อนนะจ๊ะ

2. ก่อนทา Umbrella ไม่ต้องลงครีมบำรุง/หรือถ้าอยากทาบำรุงผิวให้ใช้กลุ่มserum ที่เนื้อบางเบา และไม่มัน และรอจนตัวบำรุงซึมเข้าผิวจนแห้งสนิทก่อน เพราะ ใน umbrella ได้อัดแน่นไปด้วยสารบำรุงผิวชั้นเลิศอยู่มากมาย ดังนั้นไม่ต้องบำรุงให้ซ้ำซ้อน และเสี่ยงต่อการอุดตัน อีกทั้ง หากครีมที่ใช้บำรุง มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือซึมเข้าผิวช้า จะทำให้เกลี่ย Umbrella ยาก และจะทำให้เป็นปื้นๆ ขุยๆ ดังนั้น ขอแค่ เช็ดหน้าและมือให้แห้ง หรือรอให้ครีมบำรุงแห้งก่อน แล้วค่อยลง Umbrella ตามก็จะได้ใบหน้าใสกิ๊ก เรียบเนียน เงาสวย และหน้าเด้งจนยันเย็น มืดค่ำกันเลยทีเดียว


เพื่อเป็นการพิสูจน์เอสเลยทดลองเองเลยค่ะแบบจัดเต็มรายงานต่อเนื่องทั้งวัน
ติดตามในโพสต่อไปนะคะ > > >

s
#2
สวัสดีอีกครั้งค่ะ เนื่องจาก มีงานต้องไปหาข้อมูลวิจัยที่ญี่ปุ่น ในช่วงเดือนธันวาคม 2013 ครั้งนี้เลยถือโอกาสไปทดสอบประสิทธิภาพของ น้องร่ม ในช่วงหน้าหนาวของดินแดนอาทิตย์อุทัย พร้อมๆกับพาแม่ไปเที่ยวด้วยค่ะ

ทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจาก เสร็จสิ้นการเจรจาธุรกิจ ที่ประเทศไต้หวัน ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน และตัดสินใจนั่งเครื่องบินต่อจากไต้หวัน มาที่ญี่ปุ่นโดยไม่กลับเมืองไทยก่อน เพราะอยู่ไต้หวัน ก็เท่ากับครึ่งทางแล้วค่ะ เลยนั่งต่อไปเลย จะได้ไม่ต้องวกกลับไปกลับมาค่ะ

หลังจากที่อยู่ไต้หวัน เพื่อทำงานเจรจาธุรกิจ อยู่ประมาณเกือบสองอาทิตย์ ก็ถึงเวลาเดินทางมาทำงานต่อที่ญี่ปุ่น อยากจะบอกว่า ร่างกายที่ต้องอยู่ในสภาพอากาศที่แตกต่างจากบ้านเราที่ไต้หวัน พร้อมกับการที่ได้นอนวันละ 3-4 ชั่วโมงเพราะต้องทำงาน มาร่วมสองอาทิตย์ ตอนนี้ร่างกายเริ่มล้าแล้ว แต่ตัดสินใจลุยงานญี่ปุ่นต่อเลยค่ะ

เครื่องบินออกจากไต้หวัน ตอน 6.50น. (เวลาไต้หวัน) ต้องเช็คอินตั้งแต่ตี 4 เลยตัดสินใจมาที่สนามบินด้วยรถบัสเทียวสุดท้ายของวันคือ 5 ทุ่ม มาถึงสนามบินตอนเที่ยงคืน และรอเช็คอินตอนตี 4 และขึ้นเครื่องบินตอน 6.50น. สรุปแล้วคืออดนอนค่ะ เพราะนอนที่สนามบินก็ไม่ค่อยหลับ

หลังจากได้นั่งเครื่องบินตอน 6.50น. (เวลาไต้หวัน) ออกจากไต้หวัน ก็มาถึงสนามบินนาริตะที่ญี่ปุ่น ราวๆ 10.40น. (เวลาญี่ปุ่น) ค่ะ



เอาหล่ะ ลงเครื่องบินที่สนามบินนาริตะแล้ว ภารกิจที่ญี่ปุ่น เริ่มต้นขึ้นแล้วค่ะ!!



และหนึ่งในสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย สำหรับทริปนี้และทุกๆทริป คือ น้องร่ม (Umbrella) และ Sunday ค่ะ ^^

เนื่องจากวันนี้ (วันที่ 4 ธ.ค. 56) เป็นวันพุธ ซึ่งเป็นวันทำการ เอสเลยยังต้องเคลียร์งาน และโชคดีที่สนามบินนาริตะ มีระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายให้ใช้ฟรี เอสเลยขออาศัยอินเตอร์เน็ตที่สนามบินเคลียร์งานจนเรียบร้อยก่อนออกจากสนามบินค่ะ

วันนี้กว่าจะออกจากสนามบินและเริ่มเดินทางนำสัมภาระไปเก็บที่โรงแรมเลยเป็นช่วงบ่าย



เวลาเราเดินทางมากรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เรามักจะจองตั๋วเครื่องบินมาลงที่สนามบินนาริตะ เราเลยอดคิดไปเองไม่ได้ ว่าสนามบินนาริตะนี่คงอยู่ในกรุงโตเกียว หรือว่าอยู่ติดกับกรุงโตเกียว เหมือนกับ สนามบินดอนเมือง หรือ สนามบินสุวรรณภูมิ ที่เราคุ้นเคยขับรถไปกลับ หรือ ผ่านอยู่บ่อยๆ

จริงๆแล้ว อยากจะบอกว่า มันไม่ใช่เลยค่ะ สำหรับที่นี่ ดูในแผนที่ด้านบน จะเห็นว่า สนามบินนาริตะ(สังเกตที่จุด A ในแผนที่)นั้น ตั้งอยู่ที่เมืองนาริตะ (เมืองในที่นี้ น่าจะเทียบเท่ากับ อำเภอ ในบ้านเรา) ซึ่งอยู่ในจังหวัดจิบะ (ขอเรียกว่าจังหวัดเหมือนบ้านเรานะคะ โตเกียวเองก็เป็นจังหวัดค่ะ) ที่อยู่ด้านตะวันออกของกรุงโตเกียว

โรงแรมที่เอสจองไว้ อยู่ในย่านอุเอโนะ (Ueno) เมืองไทโต (Taito) ในกรุงโตเกียว(สังเกตที่จุด B ในแผนทีค่ะ) จะเห็นว่ามันไกลเอาเรื่อง วัดระยะแล้วร่วมๆ 70 กิโลเมตร ถ้าระยะประมาณนี้ วัดจากย่านที่ค่อนไปทางใจกลางกรุงเทพเรา ก็อยู่แถวนครปฐมแล้วค่ะ

การเดินทางเข้าโตเกียว เอสเลือกนั่งรถไฟ Keisei Skyliner ตรงจากสนามบินนาริตะ ไปยังสถานีรถไฟอุเอโนะ

Keisei เป็นหนึ่งในบริษัทให้บริการรถไฟเอกชนของญี่ปุ่นค่ะ ในประเทศญี่ปุ่น ผู้คนนิยมเดินทางทางรถไฟกันมาก หากพูดกันตรงๆ ญี่ปุ่นคือหนึ่งในประเทศที่มีระบบรถไฟที่ทันสมัยและครอบคลุมที่สุดในโลก และนี่เรากำลังย่างเข้าไปที่เมืองหลวงของประเทศแห่งนี้กันค่ะ งานนี้ จะพลาดการใช้รถไฟได้อย่างไรจริงไหม ส่วนเรื่องรถไฟของญี่ปุ่นจะขออนุญาตให้ฟังในรีวิววันถัดๆไปนะคะ



ค่าตั๋วของ Keisei Skyliner คนละ 2,400 เยน ค่าเงินช่วงที่เอสไป 1 เยน 0.32 บาทค่ะ ซึ่ง หากคิดเป็นเงินบาทก็จะเท่ากับ 2,400 * 0.32 = 768 บาท แอบแพงค่ะ แต่เข้าใจ ว่าเป็นไปตามค่าครองชีพของชาวญี่ปุ่น ซึ่งแพงกว่าของคนไทยเราค่ะ

จริงๆแล้ว มีรถไฟ Keisei อีกสาย ที่เป็นรถไฟที่ใช้สัญจรปกติของชาวญี่ปุ่น ที่ผ่านสถานีสนามบินนาริตะ และ เข้ามายังโตเกียว เรียกว่า Keisei Main Line แบบนี้ราคาจะถูกว่า คือราคาคนละ 1,000 เยน (320 บาท) ถูกไปเกินครึ่งค่ะ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาค่ะ ปัญหาคือ พอคุยกับเจ้าหน้าที่จองตัวแล้ว ปรากฏว่า จองที่นั่งไม่ได้ค่ะ คือ มาก่อนนั่ง มาหลังยืน เลยถามเขาว่า มีช่องสำหรับวางกระเป๋าไหม เพราะอยู่ที่ไต้หวันมาแล้วเกือบ 2 อาทิตย์ ต้องอยู่ที่ญี่ปุ่นอีกเกือบ 2 อาทิตย์ เอสกับแม่มีกระเป๋าเดินทางอยู่ 5 ใบ จัดว่าสัมภาระเยอะเลยค่ะ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่มีช่องเก็บกระเป๋า เจ้าหน้าที่ใจดีมากค่ะ เล่าให้ฟังด้วยว่า พอใกล้ๆโตเกียวแล้วปกติคนจะแน่น ต้องเบียดหน่อย งานนี้ เลยต้องขอบาย ยอมนั่ง Skyliner ค่ะ



กับแม่ แอบหมดแรงอยู่ใน Skyliner ค่ะ นั่งรถไฟญี่ปุ่นครั้งแรก รถสะอาดมาก และ นั่งสบายมากค่ะ เป็นความประทับใจครั้งแรกกับระบบรถไฟญี่ปุ่นเลยค่ะ



พอดูวิวข้างๆ จากเป็นบรรยากาศทุ่งนาของเมืองนาริตะ เริ่มค่อยๆ กลายเป็นเมืองของโตเกียวขึ้นเรื่อยๆ โดยยังคงเห็นอาคารที่มีความเป็นญี่ปุ่นอยู่เรื่อยๆ ตลอดทาง พอเริ่มเข้าโซนสถานีรถไฟ (มีหลายชานชลามากๆ) ก็เป็นสัญญาณที่ต้องเริ่มเตรียมตัวลงแล้วค่ะ

หลังจากลงรถไฟที่สถานีอุเอโนะ ก็ถึงคราวต้องพึ่งสองมือขนสัมภาระ และพึ่งสองเท้าเดินไปโรงแรมที่จองไว้แล้วค่ะ



โรงแรมที่จองไว้ กับ สถานีรถไฟอุเอโนะ ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลค่ะ 1 กิโลเมตร พอดิบพอดี ในระหว่างทาง มีสถานีรถไฟฟ้า 1 สถานี ที่ขึ้นจากสถานีรถไฟอุเอโนะได้ คือ สถานีอินาริโจ (Inaricho) ของ โตเกียวเมโทร (Tokyo Metro) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเอกชน(อีกแล้ว) ของกรุงโตเกียวค่ะ หากนั่งรถไฟฟ้าไปที่สถานีอินาริโจ จะย่นระยะทางได้ประมาณ 70% ค่ะ

สถานี อินาริโจ เป็นสถานีรถไฟไฟ้า ที่เปิดตัวพร้อมกับการให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินของโตเกียวเมโทร ในปี 1927 หรือกว่า 86 ปีที่แล้ว O_O ตัวสถานีจึงค่อนข้างแคบเล็ก ตามข้อจำกัดทางเทคโนโลยีการก่อสร้างในสมัยนั้น สำหรับเอสตอนนี้ ความเก่าไม่ใช่ปัญหา ความแคบเล็กอย่างเดียวไม่ใช่ปัญหาค่ะ ปัญหาคือ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอินาริโจ ไม่มีบันไดเลื่อน และ ลิฟท์ สำหรับขึ้นลงระหว่างตัวสถานีกับพื้นทางเท้า เข้าใจว่าคงติดข้อจำกัด ด้านพื้นที่ของสถานี ในการติดตั้งภายหลังค่ะ

ดังนั้น งานนี้เลยต้องพึ่งสองมือและสองเท้า ในการพาสัมภาระทั้งหมด ไปที่โรงแรมที่จองไว้ เพราะขนขึ้นลงบันไดปกติ ไม่ไหวจริงๆค่ะ



กับแม่ ระหว่างทาง ขอนั่งพักที่ทางเดินลอยฟ้า หน้าสถานีรถไฟอุเอโนะค่ะ

ปล. ทาน้องร่มตั้งแต่เมื่อคืนวาน ผ่านไปร่วม 15 ชั่วโมง เดินทางข้ามประเทศ ทั้งขึ้นรถบัส เครื่องบิน และรถไฟ แถมเดินขนกระเป๋า 5 ใบ มาอีกระยะหนึ่ง ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเลย หน้ายังเด้ง ใสกิ๊กอยู่เลย งานนี้ ขอบอกว่า "รักน้องร่มที่สุดค่ะ"

เดินไปเดินมาชักหิว เลยนึกได้ ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ตั้งแต่ออกจากไต้หวัน ตอนเดินเลยเหลือบซ้ายแลขวา หากของกินประทังชีวิตไปพลาง

พอเดินมาเรื่อยๆ ก็เหลือบไปเห็นป้ายของแม็คโดนัลญี่ปุ่น



เห็นราคา 100 เยนแล้ว รีบคำนวนอย่างรวดเร็ว ได้เท่ากับ 32 บาท เอ๊ะ ถูกนี่ ราคาไม่ต่างกับที่เมืองไทย เพราะนี่เป็นโปรโมชั่น แถมหมดพรุ่งนี้ด้วย เลยไม่รอช้า ขอคว้าใส่ท้องก่อนค่ะ

ตอนนี้เริ่มเข้ามาในตัวเมืองโตเกียวได้ประมาณ 2-3 ชม. ก็เริ่มนึกถึงคำร่ำลือเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่น ว่าไม่ค่อยดี พอได้ลองมาสัมผัสด้วยตัวแล้วแล้ว พบว่า มัน จริง ค่ะ คนญี่ปุ่น พอเราเข้าไปถามทาง เท่าที่ถามมา เขาพยายามช่วยเราเต็มที่ค่ะ แต่ติดที่ส่วนใหญ่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้จริงๆ แต่ยังโชคดีที่ ศัพท์หลายๆคำในภาษาญี่ปุ่นนั้น ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ เรากับเขาเลยยังพอรู้เรื่องกันในระดับคำศัพท์ และพอประกอบกับมือไม้ เลยยังพอสื่อสารกันได้ แต่ใช้เวลาในการสื่อสารหน่อยค่ะ

ดังนั้น หากมาเที่ยวญี่ปุ่น แต่กังวลว่าตัวเองไม่เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ต้องกลัวในการสื่อสารกับคนญี่ปุ่นนะคะ คนที่เก่งภาษาอังกฤษ กับไม่เก่งภาษาอังกฤษ เมื่อมาอยู่ที่ญี่ปุ่น ทุกคนเท่ากันในการสื่อสารกับคนญี่ปุ่นค่ะ

ก็เลยเป็นที่มาของรูปด้านบนค่ะ เพราะวิธีง่ายสุดในการสั่งอาหารประทังชีวิต ที่ญี่ปุ่น คือ ชี้เอาจากรูป แล้วยกนิ้วแสดงจำนวนค่ะ เอสเลยต้องถ่ายรูปป้ายหน้าร้าน(รูปด้านบน) แล้วไปให้พนักงานดู พร้อมกับชูนิ้วชี้ ว่า ฉันจะเอาอย่างนี้ 1 อัน สุดท้ายก็ได้มา ตามรูปข้างล่าง รอดแล้วเรา อิอิ



พอถึงโรงแรม เช็คอิน ก็ได้เวลางีบจากความเหนื่อยล้าของร่างกาย หลังจากงีบไปได้ 2 ชม. ร่างกายก็เริ่มฟื้น คราวนี้เลยได้เวลา ออกไปหาของกินกันค่ะ

ที่ที่เราจะไปหาของกินมื้อค่ำกันในวันนี้ คือ ตลาดอาเมโยโกะ (Ameyoko) ที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟอุเอโนะค่ะ มาดูว่า เราจะเดินทางกันอย่างไรค่ะ



จากโรงแรมที่พัก (ที่จุด A) ไปยังตลาดอาเมโยโกะ (ที่จุด B) ระยะประมาณ 1 กิโลเมตร แต่คราวนี้เราจะลองไปขึ้นรถไฟฟ้า ที่สถานีอินาริโจ (Inaricho) และ ไปขึ้นที่สถานีอุเอโนะ (Ueno) และเดินไปตลาดอาเมโยโกะกันค่ะ


ขอบคุณภาพถ่ายชานชาลาของสถานีอินาริโจ จากวิกิพีเดีย http://en.wikipedia.org/wiki/Inarich%C5%8D_Station ค่ะ

นี่เป็นภาพถ่ายชานชาลาของสถานีอินาริโจ ตอนคนว่าง ที่ทำให้เราได้เห็นตัวสถานีกันชัดๆค่ะ จะเห็นว่าแคบเล็ก และดูเก่า สมกับเป็นสถานีที่เปิดใช้งานตั้งแต่ปี 1927 ค่ะ



กับแม่ ได้ขึ้นรถไฟ้าใต้ดินญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกค่ะ



ก่อนออกมา ทาแค่น้องร่มกับแป้งบางๆค่ะ แค่นี้หน้าก็ใส เด้งแล้วค่ะ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้รักน้องร่มได้ยังไง



ตัวรถไฟดูทันสมัยค่ะ แต่ดูตั๋วแล้วแอบโบราณ เป็นกระดาษชิ้นเล็กๆ เหมือนตั๋วรถไฟแบบเก่า ที่ยังต้องมีพนักงานตรวจตั๋ว ทั้งๆที่ ตั้งแต่ซื้อตัวและตรวจตั๋วเข้าออกก็เป็นระบบอัตโนมัติหมดแล้ว ทำให้บรรยากาศออกมาดูร่วมสมัย แต่นั่นไม่สำคัญค่ะ ที่สำคัญคือ เอสแค่ขึ้น 1 สถานีมายังสถานีอุเอโนะ แต่ราคาคนละ 160 เยน (51.2 บาท) O_O มันแอบแพงอีกแล้วค่ะ

เนื่องจากสถานีอุเอโนะ เป็นสถานีสำคัญ ที่เป็นจุดเชื่อมต่อของระบบรถไฟหลายๆสาย (ไว้จะเล่าให้ฟังในรีวิววันหลังนะคะ) จึงเป็นสถานีที่เอสจะต้องไปใช้งานเป็นประจำในตอนที่อยู่ที่นี่ ซึ่ง ห่างกับโรงแรมที่เอสพัก 1 กิโลเมตร แต่ราคาตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดินคนละ 51.2 บาท ต่อเที่ยว งานนี้เข้าข่าย จะเดินก็รู้สึกไกล จะนั่งรถไฟก็รู้สึกแพง แอบเซ็งค่ะ



จากนั้นนั่งมาถึง สถานีอุเอโนะ ตีตั๋วออก แล้วก็เดินออกทางออกเบอร์ 5 เพื่อไปตลาดอาเมโยโกะกันค่ะ

ชื่อตลาดอาเมโยโกะ จริงๆแล้วย่อมาจาก อาเมยะ-โยโกะโจ (Ameya-yokocho) ซึ่งหมายถึง ตรอกที่รวบรวมร้านขายขนม และคำว่า อาเม (Ame) ในคำว่า อาเมยะ (Ameya) ยังหมายถึง อเมริกา (America) อีกด้วยค่ะ ชื่อนี้ก็มีที่มาเช่นกัน เพราะว่า แรกเริ่มเดิมที หลักจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม และอยู่ภายใต้การปกครองของอเมริกา ได้มีพ่อค้าหลายๆราย นำขนมที่มาจากอเมริกามาเริ่มวางขายที่นี่ จนสุดท้าย เริ่มกลายเป็นตลาดที่มีผู้รู้จักกันอย่างกว้างขวาง และ ได้รับความนิยมจากทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างล้นหลามจนถึงทุกวันนี้ค่ะ และอีกหนึ่งเกร็ดความรู้เกี่ยวกับตลาดนี้ คือ ตลาดแห่งนี้ในปัจจุบัน เป็นตลาดแห่งเดียวในกรุงโตเกียว ที่ยังมีวัฒนธรรมการต่อราคาระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายกันอยู่ค่ะ ในขณะที่ตลาดที่อื่นๆ ในโตเกียว เป็นการขายแบบราคาตายตัวหมดแล้วค่ะ


ขอบคุณภาพถ่ายหน้าป้ายตลาดอาเมโยโกะตอนกลางวัน จากวิกิพีเดีย http://en.wikipedia.org/wiki/Ameya-Yokoch%C5%8D ค่ะ

เดินตามป้ายมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นราค้า แต่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของตลาดอาเมโยโกะค่ะ แต่เห็นร้านขายดอกไม้ มีดอกไม้สวยๆอยู่เยอะเลย เลยขอแวะถ่ายรูปกับแม่ก่อนค่ะ



ต่อมาเริ่มเดินตามคนเข้าไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเจอย่านการค้าค่ะ มีร้านขายสินค้ามากมายหลายชนิดค่ะ ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องกีฬา แต่สิ่งที่ตามหาในยามนี้ คือ ของกินค่ะ



พอเดินมาเรื่อยๆ เริ่มเจอโซนตลาดสดค่ะ เอสก็เริ่มเดินดูว่าตลาดสดคนญี่ปุ่นเขาขายอะไรกันบ้าง





พอดูของแล้ว แปลงเป็นเงินไทย (ประมาณง่ายๆ โดยการหาร 3 ค่ะ) ราคาก็ไม่ได้แพงนี่นา เลยถามเช็คกับแม่ แม่ก็ว่าไม่แพง เอ๊ะ แปลว่าเราเริ่มเจอของถูกที่ญี่ปุ่นแล้วสิ

และในที่สุด ....



แพ็คละประมาณ 200 บาท เอสเลยจัดทันที 2 แพ็คค่ะ คุณลุงเจ้าของร้านก็ลดราคาให้ เหลือแพ็คละประมาณ 160 บาท 2 แพ็ค ประมาณ 320 บาท ถูกเวอร์!!! แถมพอรู้ว่าเราเป็นคนไทย ก็ยังพูด ขอบคุณครับๆ อยู่ไม่ขาดปาก เลยขอถ่ายรูปคุณลุงติดไปด้วยค่ะ เผื่อมีคนไทยเราไปจะได้ไปอุดหนุนแกอีก

เนื่องจากโรงแรมที่เอสพัก มีเครื่องครัวให้สามารถยืมได้ค่ะ เอสเลยสามารถจัดของสดไปแปลงเป็นอาหาร บวกกับเครื่องแกงต่างๆ ที่แม่เตรียมมาจากไทย พรุ่งนี้รอดูค่ะ ว่าแซลมอนแพ็คนี้ จะแปลงร่างเป็นอาหารจานเด็ดแบบไหน อิอิ แต่นั่นก็ต้องว่ากันพรุ่งนี้ค่ะ ส่วนตอนนี้ อย่างไรก็ต้องหาลองชิมมื้อค่ำที่นี่ให้ได้ค่ะ

พอเดินไปเดินมา ในที่สุดเราก็เจอร้านอาหารค่ะ เป็นร้านขายของย่างเล็กๆ หน้าร้านพากย์ญี่ปุ่นล้วน แต่ไม่กลัวค่ะ ไหนๆก็มาแล้ว เลยตัดสินใจเดินเข้าไป (ลืมถ่ายภาพหน้าร้านไว้ค่ะ)

ที่ไม่กลัว เพราะมีตัวช่วยลับค่ะ เล่มนี้เป็นหนังสือหลานสาวสุดที่รัก พอรู้ว่าอาเอสจะไปญี่ปุ่น ก็เลยไปซื้อหนังสือมาให้ แถมติ๊กสารบัญมาให้เสร็จสรรพ น่ารักจริงๆค่ะ



เอสก็ใช้ตัวช่วยทันทีค่ะ พนักงานชาวญี่ปุ่นที่ร้านนี้ก็น่ารักมาก พยายามเข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารอย่างสุดความสามารถ (เหมือนช่วยกันทำการบ้านเลยค่ะ)



สุดท้ายก็ได้ของที่อยากทานมาทาน คือ ยำเนื้อปลาหมัดซอส และข้าวสวยร้อนๆ พร้อมของย่างอีก 3-4 จาน (แต่ไม่ทันได้ถ่ายรูปของย่างค่ะ) เบ็ดเสร็จ 1,260 เยน (ประมาณ 400 บาท) จัดว่าไม่แพง เท่าๆกับราคาอาหาญี่ปุ่นในเมืองไทยค่ะ



จ่ายเงินเสร็จ ออกมานอกร้าน อุณหภูมิ 12 องศา เจอไอศรีมซอฟโคน รสช๊อกโกแล็ต-กล้วย ถึงกับต้องจัดไป 1 อัน ราคา 300 เยน (96 บาท) อันนี้แอบแพงค่ะ

จากนั้นเดินคุยกับแม่ไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงทักจากข้างหลัง ว่า "สวัสดีค่ะ" พอหันไปเจอ ผู้หญิงญี่ปุ่นใส่กิโมโนยิ้มให้ สงสัยฟังเอสพูดกับแม่ แล้วรู้ว่าเป็นคนไทยเลยทัก น่ารักมากๆ เป็นความรู้สึกอบอุ่นเล็กๆ ยามอยู่ต่างแดนค่ะ



ต่อมาก็เดินเที่ยวไปเรื่อยๆ ไปถึงโซนร้านขายขนมและของฝาก แต่ร้านเขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เลยไม่สามารถถ่ายรูปมาลงได้ค่ะ จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ จนมาเจอร้านนี้ค่ะ



โอ๊ะ ร้านของทะเลย่าง กวาดสายตาไป แล้วสะดุดอันไหนกันบ้าง



เอสสะดุดอันนี้เลยค่ะ จากการถามเจ้าของร้าน (ร้านนี้ สามี-ภรรยา ทำงานกันสองคน เป็นธุรกิจครอบครัวค่ะ) ว่า ขาละ 990 เยน ประมาณ 320 บาท (ขาเดียวนะคะ ไม่ใช่ทั้งหมด) ถือว่าถูกว่าเมืองไทยค่ะ เลยต้องจัดไปพร้อมกับเมนูย่างน่ากินอื่นๆ

มาแล้วค่ะ



น่าทานไหมคะ???

ขอปิดท้ายรีวิววันนี้ ด้วยรูปนี้ค่ะ



ตอนนี้ 3 ทุ่มเวลาญี่ปุ่นค่ะ หลังจากออกมาเดินเกือบๆ 4 ชั่วโมง หน้ายังใสกิ๊ก ไม่มีร่องรอยความมันเลยค่ะ ขอขอบคุณ Umbrella ที่ทำให้หน้าใสไม่แพ้สาวญี่ปุ่นค่ะ

พบกับใหม่ ในรีวิวของวันพรุ่งนี้ค่ะ
s
#3


ก่อนจะอ่านรีวิวกันต่อเอสขอแทรกด้วยความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับกันแดดทั้งสองตัวนี้ก่อนนะคะ

เมื่อก่อนตอนใช้หลอดละ 2000 ไม่เคยเคาะ ไม่เคยตัดหลอด
แต่พอใช้น้องร่มฟ้า ทั้งเคาะ ทั้งตัด ใช้ให้คุ้ม.. จนหยดสุดท้าย !!! ทั้งที่น้องร่ม ราคา "ถูกกว่ามากๆ"


ตั้งแต่มีกันแดด..ทาหน้า Umbrella (#น้องร่มฟ้า)
เอสก็ลืม..เจ้าประจำจากเคาน์เตอร์แบรนด์ไฮเอนด์ หลอดละ 2000 (แต่มันเยิ้ม)
และไม่ซื้อตัวบำรุง..เพิ่มอีกเลย !! เป็นเวลา 1 ปี ที่ใช้เฉพาะน้องร่มฟ้า..ตัวเดียว จบ!!!
(ตอนนี้เริ่มกลับมาลอง คลีนซิ่งออย เซรั่มต่างๆ จนหน้าเริ่มกลับมาแพ้อีกแระ)
เพราะ ผิวเอสแพ้ง่ายมากๆๆ บวกกับระบบน้ำเหลืองก็ไม่ดี จนต้องใช้สบู่ล้างหน้าก้อนละสามพันกว่า
เอสแพ้น้ำ แพ้ฝุ่น แพ้ไวท์เทนนิ่ง ครีมกระปุกเป็นหมื่นเอสยังแพ้อะคะ
ตอนไปลอนดอน..ก็แพ้น้ำและฝุ่น กลับไทยพกสิวมาเต็มหน้าเลย
แต่น้องร่มฟ้า..เอสทาได้สบายสุดๆ ไม่มีปัญหา ช้อบชอบ ^^

#สำคัญ ที่สุดของคนที่เคยลองใช้ #ครีมกันแดด ของ Umbrella ทั้ง Umbrella หรือ Sunday คือใช้กัน จนหมดต้องตัดหลอด เป็นความสุข ของคนได้ใช้ของดีๆ #ราคาประหยัดจริงๆ คร้า


ส่วน Sunday อร้าย!!! เลิศศศศ "ทา กับ ไม่ทา" ต่างกันจริง..
ถ้าใครใช้แล้วไม่หลงรัก!! แสดงว่า..ยังไม่ลองทา"วิธีที่ถูกต้อง"


เพราะ ถ้าทาตามวิธีนี้ รับรอง..ออร่ามากกก! แถมกลืนไปกับผิว ไม่เหนียวเหนอะหนะ
สบายผิว..ที่สุด..เท่าที่เคยลองกันแดดตัวมาเลยคร่า
‪#‎เคล็ดลับ‬ ‪#‎ขาว‬ ‪#‎เนียน‬ ‪#‎ใส‬ ‪#‎ออร่า‬ ‪#‎จนใครเห็นใครก็มอง‬ อิอิ

วีดีโอ แนะนำการใช้ Sunday


เพียงแค่ผสมน้ำ กันแดด SUNDAY ก็จะกลายเป็นกันแดดเทพ เนื้อน้ำนม ซึมเข้าเป็นเนื้อเดียวกับผิว ปกป้องแสงแดดด้วย spf 60 pa +++ UVA UVB และยังทำให้ผิวเนียน ขาว ใส ออร่า ที่สุดเท่าที่คุณเคยทากันแดดมา แถมยังเบาสบาย ไม่มีคราบเหนียว แม้แต่นิดเดียว เริ่ด ที่สุดดด ต้องลอง !!!


Sunday by Umbrella กันแดดทาตัว 100 ml. อย. 10-1-5611400
Umbrella กันแดดทาหน้า ขนาด 20 ml. อย. 10-1-5531563

♥♡♥♡♥ เลิฟๆ ♥♡♥♡♥

#รีวิว Umbrella ในลิงค์อัลบั้ม http://goo.gl/J4s3ar
#รีวิว Sunday ในลิงค์อัลบั้ม http://goo.gl/4d6qOn
#เกี่ยวกับ Umbrella & Sunday ในลิงค์อัลบั้ม http://easy.tc/?h2q
#ผลของการไม่ทากันแดด !!! http://goo.gl/d5FBJW

▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼

!!!! Umbrella ทาหน้า 20 ml ราคา 470 บาท พิเศษ โปรโมชั่นวันนี้ 320 บาท ทุกตัวแทนจำหน่ายออนไลน์ !!!!

!!!! Sunday by Umbrella ทาตัว 100 ml ราคา 570 บาท พิเศษ โปรโมชั่นวันนี้ 385 บาท ทุกตัวแทนจำหน่ายออนไลน์ !!!!

หมายเหตุ ราคานัดรับ จะแตกต่างกันแล้วแต่การจัดการของแม่ค้าแต่ละราย

***** ใครยังไม่เคยลอง#กันแดดเทพ กดไลค์ แล้วรับฟรี ตัวทดลอง จัดส่งถึงบ้าน" บวกค่าส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนเพียงแค่ 30 บาท *****

รวมกิจกรรมรับกันแดดร่มหลอดทดลองได้ ในลิงค์ http://goo.gl/5kGZ3


▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼

สินค้าพร้อมส่งนะคะ ติดต่อทางใดทางนึง เนื่องจากส่ง inbox แล้วจะไม่ได้รับคร่า
Tel. 086-60-40710 คุณเอส 090-6350807 คุณผึ้ง
Line : ss-secret.com (SuperShe)
inbox เพจ =>
http://www.facebook.com/messages/219748081369132
ส่งสินค้าทุกวัน จันทร์-เสาร์ ^^


ดูกระทู้ทั้งหมดในชุมชน จาก  Downtown ดูกระทู้ในหมวด ดูกระทู้ในหมวดย่อย
กระทู้แนะนำจากการคัดเลือกอัตโนมัติ
1
2
3