เมื่อก่อน ผมกินเผ็ดได้น้อยมาก ตอนเด็ก ระหว่างของเผ็ดกับแกงจืด จะชอบแกงจืด หรือต้มจืด มากกว่า
ของเผ็ดก็กินได้ แต่ไม่โปรดมาก เท่าทุกวันนี้
ได้มีโอกาสทานน้ำพริกกะปิ ฝีมือของ ปรมาจารย์ด้านข้าวแกง คุณแม่ของพ่อครัวตัวจริง ของทีมงานของเรา
ผมมีความหลังค่อนข้างเยอะนิดนึงกับ น้ำพริกกะปิ ด้วยสมัยเด็กที่กินเผ็ดมากไม่ได้
เห็นน้ำพริก แรกๆ นึกถึง ความเผ็ด กับ กลิ่นกะปิ ที่ไม่ถูกใจเลย
จึงได้แตะๆ ไม่ได้กินแบบจริงจัง
พอได้เห็นที่บ้านของ ปรมาจารย์ท่านนี้ เขาทานกันอร่อยมากมาย
เราจึงอยากลองดูบ้างว่า มันอร่อยขนาดไหน ผลปรากฏกับตัวเองว่า
อร่อยมากกกกกกก ไม่เคยกินน้ำพริกที่อร่อยขนาดนี้ เลยครับ
งานนี้ เผ็ดแค่ไหนก็ยอมครับ
วันนึง ผมได้ฝึกฝีมือตำ จากท่านปรมาจารย์ แต่ ยังไม่เคยปรุงเอง
ได้เรียนรู้เรื่องการตำไปบ้างก็ดี ครับ
ตอนแรกเข้าใจว่า การตำน้ำพริก ยากมาก ส่วนผสมเยอะ หลากหลาย
แต่ พอได้ฝึก ก็เพิ่งรู้ว่า ส่วนผสม ไม่เยอะเลย ทำง่ายด้วย
แต่ ความอร่อย เริ่มต้นที่ วัตถุดิบหลักที่ใช้ กะปิ ต้องดี กลิ่นต้องหอม
หากได้ พริกขี้หนูสวน ด้วยยิ่ง หอม อร่อย กระเทียม น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย และมะนาว
ตอนนี้ มีโอกาสตำกินเองแล้ว เป็นเมนูที่อยากทำให้อร่อยที่สุด
เพราะอยากเอาไปมัดใจ พ่อกับแม่ ของคนรัก
เรามาเริ่มกันเลยครับ
เริ่มด้วย เตรียมพริก ล้างน้ำให้สะอาดและทิ้งไว้ให้แห้งสนิท
ปอกกระเทียมให้เรียบร้อย เตรียมพร้อมลงในครกหิน
เรื่องจำนวน จะเป็นแบบนับจำนวน ก็ได้นะครับ
ส่วนผมใช้วิธี หยิบขึ้นมาและ กะประมาณ เอาครับ ซึ่งโดยมาก มากกว่า 20 เม็ด ครับ
ส่วนกระเทียมก็ให้เยอะพอเข้ากันได้กับพริก
นำพริกและกระเทียม ที่เสร็จแล้ว ลงครกหิน พร้อมกับกะปิ ไม่ต้องเยอะมากครับ เดี๋ยวเค็ม
เอาพอให้ได้ รสกะปิ ครับ อันนี้ก็ต้อง กะประมาณเอาเช่นกันครับ
หากครกเล็ก ก็ค่อยๆ ใส่ทีละหน่อยนะครับ ไม่ต้องใส่ลงไปทีเดียว
เพราะเวลาตำ หากเยอะเกินไป จะทำให้พริก กระเทียม กระเด็นหนีจากครก
และการใส่ กะปิ ลงไปพร้อมกัน นอกจากให้ผสมกันเป็นเนื้อเดียวได้แล้ว
ก็เพื่อไม่ให้พริกกับกระเทียมกระเด็นนี่แหละครับ
ระหว่างตำ คอยเอามือประคอง อย่าให้ สิ่งที่ตำ กระเด็นออกมา และระวังโดนหน้า หรือ ตา นะครับ
หากเราคัน ระหว่างตำ ระวังมือ ที่รอยน้ำพริก โดนที่คันละก็ แสบ ร้อน มากมายเลยล่ะครับ ผมโดนมาแล้ว
ก่อนใช้มือ สัมผัสส่วนอื่นของร่างกาย ให้ล้างมือให้สะอาดหลายๆ ครั้ง จนความเผ็ดหายไปก่อนนะครับ
อันนี้ ระวังให้มากครับ
จากนั้นก็เริ่มตำ ไม่ต้องรีบนะครับ เดี๋ยวเมื่อยไว ค่อยๆ ตำ
น้ำพริกถ้าตำ จะอร่อยกว่า ปั่น เพราะว่า การตำทำให้วัตถุดิบเหล่านี้ ระเบิด
และให้กลิ่นหอม รสชาติที่หลั่งไหลออกจากการระเบิด ทำให้น้ำพริกของเรา หอม รสอร่อย ครับ
ตำไปเรื่อยๆ จนละเอียดพอสมควร แต่ไม่ต้องถึงขั้นละเอียดยิบมากมายครับ
หากทำแกงส้ม ก็ต้องให้ละเอียดมากๆ จะได้ไม่เป็นชิ้นในน้ำแกงครับ
พอได้ประมาณรูปข้างบน ผมก็เริ่มใส่ น้ำตาลปี๊บ ลงไป
แล้วตำต่อ ตอนนี้ไม่ต้องแรงมากแล้วครับ ตำไปเรื่อยๆ น้ำพริกจะเริ่มเหลวครับ
และค่อยๆ เข้ากันเป็นเนื้อเดียวกับน้ำตาลปี๊บ ตำพอให้ เข้ากันเป็นเนื้อเดียวครับ
แล้วเราก็เสร็จแล้วล่ะครับ ในขั้นตำ
จากนั้น ตักใส่ถ้วยนะครับ เพราะขั้นตอนต่อไป เราจะปรุงรส ด้วยมะนาว
หากบีบน้ำมะนาว ใส่ในครก จะทำให้ กรดที่อยู่ในน้ำมะนาว กัดกร่อนครก เอาหินออกมาด้วยครับ
บีบน้ำมะนาว ให้เยอะเลยล่ะครับ สูตรผม ใส่ประมาณ 5-7 ลูกเลยล่ะครับ
ให้รสเปรี้ยวเข้ากันกับความเผ็ด และรสชาติของกะปิ ช่วยลดความเผ็ดได้ึครับ
แล้วเติมน้ำตาลทราย เพื่อเพิ่มความหวาน จะได้ทานง่ายขึ้นครับ
ใช้ช้อนกวน ให้น้ำมะนาวและน้ำตาลทราย เข้าด้วยกันกับน้ำพริก
คราวนี้ก็ นิ้วแตะ ชิมว่ารส โอกาสไหม ได้ตามค่าที่ต้องการไหม
เผ็ดนำ เปรี้ยวตาม หวานตบท้าย หรือ ลำดับของรสชาติเป็นอย่างอื่น ก็ตามแต่ความชอบครับ
เมื่อได้รสตามที่ต้องการแล้ว ก็เตรียมพร้อมอร่อยกับมื้อนี้ได้แล้วครับ
หากได้ผักเย็นๆ มาทานคู่กัน ก็อร่อยครับ เรื่องผักนี่ ตามแต่ชอบเลยครับ
ได้หลากหลายมากมายครับ
ขอเชิญเพื่อนๆ อร่อยกับน้ำพริก ฝีมือตัวเองได้เลยครับ
ขอให้อร่อย ถูกใจ คนที่บ้านนะครับ
ขอบคุณมากครับ
หมายเหตุ รูปถ่ายมาไม่ค่อยดีครับ อาจจะมัวไปหน่อยนะครับ ขออภัยด้วยครับ คงขาดอรรถรสไปเยอะครับ