ปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่จะดับโทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) ได้อย่างเด็ดขาดบรรลุถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ย่อมเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา ซึ่งจะเห็นได้จากชีวิตประจำวันที่มีทั้งโกรธ หงุดหงิด ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจบุคคลรอบข้าง แต่ถ้าถึงกับผูกโกรธ ผูกอาฆาต ผูกเวร จองเวร ไม่มีวันลืม ฝังลึกอยู่ในจิตใจ นั่นย่อมเป็นที่แน่นอนว่าความโกรธ มีแต่จะหนาแน่นพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ สะสมอยู่ในจิตทุกขณะไม่หายไปไหนพร้อมที่จะมีกำลังสามารถล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนได้ทุกเมื่อ ดังเรื่องของนางยักษิณีกับกุลธิดา ท่านหนึ่ง ที่เคยผูกเวร จองเวรกันไว้ ตั้งแต่ในชาติก่อน ๆ และในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ว่า “เหตุไฉน พวกเธอทั้งหลาย จึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน? เพราะเวรย่อมระงับได้ ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยเวรไม่” และได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
“ในกาลไหน ๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย
แต่ย่อมระงับได้ ด้วยความไม่มีเวร, ธรรมนี้เป็นของเก่า”
ในอรรถกถาได้แก้ไว้ว่า
ขยายข้อว่า เวรทั้งหลาย ย่อมไม่ระงับด้วยเวร
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หิ เวเรน เป็นต้น ความว่า เหมือนอย่างว่า บุคคล แม้เมื่อล้างที่ซึ่งเปื้อนแล้วด้วยของไม่สะอาดมีน้ำลายและน้ำมูกเป็นต้น ด้วยของไม่สะอาดเหล่านั้นแล ย่อมไม่อาจทำให้เป็นที่หมดจดหายกลิ่นเหม็นได้, โดยที่แท้ ที่นั้นกลับเป็นที่ไม่หมดจดและมีกลิ่นเหม็นยิ่งกว่าเก่าอีก ฉันใด บุคคลเมื่อด่าตอบชนผู้ด่าอยู่ ประหารตอบชนผู้ประหารอยู่ ย่อมไม่อาจยังเวรให้ระงับด้วยเวรได้, โดยที่แท้ เขาชื่อว่าทำเวรนั่นเองให้ยิ่งขึ้น ฉันนั้นนั่นเทียว แม้ในกาลไหน ๆ ขึ้นชื่อว่าเวรทั้งหลาย ย่อมไม่ระงับได้ด้วยเวร, โดยที่แท้ เวร ชื่อว่าย่อมเพิ่มยิ่งขึ้นอย่างเดียว ด้วยประการฉะนี้.
ขยายข้อว่า เวรย่อมระงับ ด้วยการไม่จองเวรหรือด้วยการไม่มีเวร
สองบทว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ ความว่า เหมือนอย่างว่า ของไม่สะอาด มีน้ำลายเป็นต้นเหล่านั้น อันบุคคลล้างด้วยน้ำที่ใสย่อมหายหมดได้, ที่นั้นย่อมเป็นที่หมดจด ไม่มีกลิ่นเหม็น ฉันใด, เวรทั้งหลาย ย่อมระงับ คือ ย่อมสงบ ได้แก่ ย่อมถึงความไม่มี ด้วยความไม่มีเวร คือ ด้วยน้ำคือขันติ(ความอดทน) และเมตตา (ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน) ด้วยการทำไว้ในใจโดยแยบคาย [และ] ด้วยการพิจารณา ฉันนั้นนั่นแล.
ขยายข้อว่า ธรรมนี้เป็นของเก่า
บาทพระคาถาว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความว่า ธรรมนี้คือที่นับว่า ความสงบเวร ด้วยความไม่มีเวร เป็นของเก่า คือเป็นหนทางแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระขีณาสพทั้งหลาย
(ผู้มีอาสวะสิ้นไปแล้ว) ทุก ๆ พระองค์ ดำเนินไปแล้ว
ในเวลาจบพระคาถา นางยักษิณีได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
จาก...ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี
แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงที่ว่า กิเลส(เครื่องเศร้าหมองของจิต)ที่มีมาก ที่ได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์นับชาติไม่ถ้วน ถ้าได้อาศัยการอบรมเจริญปัญญา มีความเข้าใจถูกเห็นถูกขึ้นไปตามลำดับ ย่อมสามารถที่จะละหรือดับกิเลสเหล่านั้นได้ในที่สุด