ขโมยของผิดไป เจ้าอาวาสผู้ชราได้ยินเสียง อะไรบ้างอย่างในโบสถ์ เลยเดินเข้าไปดู และพบว่ามีขโมยคนหนึ่งกำลังใช้มีดงัดตู้บริจาคเงิน ทันใดนั้น ขโมยหันมีดในมือ ชี้มาที่ เจ้าอาวาส แล้วพูดว่า “อย่าเข้ามานะไม่งั้น แกตายแน่ “ “ถ้าจะเอาเงินในตู้ละก็ เอา นี้กุญแจ เอาไปไขเลย “ เจ้าอาวาสตอบด้วยสีหน้าเป็นปรกติ “ลูกไม้ หรือเปล่า นี้ ถ้าเล่นตุกติก แกตายแน่” “ท่าน หิวหรือเปล่า ตรงมุมโน้นมีอาหารเหลือ เอาไปกินได้นะ” เจ้าอาวาส ตอบด้วยน้ำเสียงเมตตา ท่านสังเกตว่า ขโมยคนนี้ท่าทางคงไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ขโมย คว้าของกินใส่ปาก กินอย่างหิวโหย อีกมือ ก็ไขกุญแจตู้ และกวาดเงินใส่ประเป๋า “ห้าม แกแจ้งความนะ ไม่งั้นฉันจะกลับมาฆ่าแกแน่ๆ” ขโมยพูด “ไม่หรอก ไม่แจ้งความ แต่คงต้องบอกคณะกรรมการวัดนะ ว่าเงินหายไป” เจ้าอาวาสตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น หลังจากนั้น อีกไม่กี่วัน ขโมยคนนี้โดน ตำรวจจับได้ เพราะไป ขึ้นบ้านคนอื่น เขาโดนตัดสินติดคุก 5 ปี หลังจากออกจากคุก ขโมยคนนี้ได้กลับมาหาเจ้าอาวาส พร้อมมีดในมือ แล้วถามว่า “หลวงพ่อจำผมได้ไม๊ ?” “อ้อ คุณที่เคยเข้ามาขโมยเงินที่วัด จำได้” เจ้าอาวาสตอบ “ผมจะกลับมาขโมยอีกแล้ว” “เอานี้ !!! กุญแจตู้เงิน “ เจ้าอาวาสพูดพร้อมกับส่งกุญแจ ตู้ให้ “คราวที่แล้วผมเข้ามาขโมย แต่ผมขโมยของผิดไป คราวนี้ผมไม่ได้มาขโมยเงิน แต่ผมจะมาขโมย ความรัก ความเมตตา ที่ท่านมีต่อผม บวชให้ผมด้วย หลวงพ่อ !!! “ ... พูดเสร็จ ขโมย ก็ก้มลงวางมีด แล้วกราบเจ้าอาวาสผู้ชรา...
ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต
ที่สุดแห่งความกตัญญู ว.วชิรเมธี
วิสัชนาความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้น ขึ้นอยู่กับ การมีคนลูกเป็นคนดีในหนังสือ “หิโตปเทส” โบราณาจารย์ท่านกล่าวว่า“มีลูกดี แต่ตายแล้วมีลูกชั่ว แต่ยังมีชีวิตอยู่สู้มีลูกดี แต่ตายแล้วเสียยังดีกว่า” ความข้อนี้ ก็สะท้อนสัจธรรมตรงกันว่าสิ่งที่เป็นยอดปรารถนาของพ่อและแม่คือ การมีคนเป็นคนดีจากคำถามของคุณ ยืนยัน ว่าคุณได้ทำหน้าที่เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่แล้ว แสดงว่า นั่นเป็นโชคดีของคุณพ่อคุณแม่ของคุณเป็นอย่างมาก แต่ถึงแม้คุณจะทำหน้าที่ในส่วนของลูกกตัญญูเป็นอย่างดีแล้ว แต่คุณเองก็ยังรู้สึกว่า เป็นการทำความดีที่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ การที่คุณคิดเช่นนี้ได้นับว่าประเสริฐมาก เพราะมันคือช่องทางที่จะทำให้คุณ ได้ก้าวขึ้นไปสู่การตอบแทนพระคุณของบุพการีในระดับที่ดีเลิศยิ่งๆ ขึ้นไป การตอบแทนพระคุณพ่อแม่นั้น เราทำได้สองระดับด้วยกัน (๑) ระดับพื้นฐาน คือ การทำหน้าที่ของลูกต่อบุพการีให้สมบูรณ์ที่สุดซึ่งหน้าที่ดังกล่าวนี้ ลูกคนไหนทำได้ ก็นับว่า เป็นลูกที่ประสบความสำเร็จในฐานะลูกชั้นยอดแล้ว แต่ว่า ยังคงเป็นความสำเร็จแบบโลกีย์ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ หน้าที่ดังกล่าวนี้ ประกอบด้วย ๑) ท่านเลี้ยงมาแล้วต้องเลี้ยงท่านตอบ๒) ช่วยทำการงานของท่าน๓) ดำรงวงศ์สกุล๔) ประพฤติตนให้สมควรรับมรดก๕) ท่านล่วงไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน (๒) ระดับสูง คือ การนำพ่อแม่ให้เดินเข้าสู่เส้นทางสีขาวของสัจธรรม อันได้แก่ การชักนำพ่อแม่ที่ ๑) ไม่มีศรัทธา ให้เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธา๒) ไม่มีศีล ให้มีศีล๓) ไม่มีความเป็นคนใจบุญ ให้เป็นคนใจบุญสุนทร์ทาน๔) ไม่มีปัญญา ให้มีปัญญา๕) ไม่มีโอกาสได้พบแสงสว่างแห่งธรรม ให้ได้ชิมลิ้มรสธรรม พระพุทธองค์เคยตรัสว่า ลูกที่มีความกตัญญู อยากจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่ให้ถึงที่สุด ต่อให้นำพ่อและแม่มาประดิษฐานอยู่บนบ่าซ้ายและบ่าขวา ปรนนิบัติท่านทั้งสองอยู่บนบ่าของตนให้มีความสุขเต็มเปี่ยมด้วยมนุษยสมบัติ เช่น กิน กาม เกียรติ กระทั่งยอมให้ท่านอุจจาระปัสสาวะอยู่บนบ่าของตนจนวันหนึ่งท่านทั้งสองนั้น ล่วงไปตามอายุสังขารอย่างสงบ แต่การปรนนิบัติมารดาบิดาถึงเพียงนั้น ก็นับว่า เป็นการแสดงความกตัญญูอย่างโลกๆ อย่างธรรมดาๆ เท่านั้นเอง ส่วนลูกคนใดก็ตาม นอกจากปรนนิบัติมารดาบิดาอย่างที่กล่าวมาข้างต้นตามปกติแล้ว ยังบำเพ็ญตนเป็น “มรรคนายก” นำพ่อแม่ดำเนินเข้าสู่เส้นทางธรรม ด้วยการนำท่านให้สมาทานประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา จนพ่อแม่มีศรัทธา มีศีล มีจิตปราศจากความตระหนี่ และมีปัญญารู้ทั่วถึงธรรม ลูกคนไหนทำได้อย่างนี้ นี่คือ ที่สุดแห่งความกตัญญู การกตัญญูต่อพ่อแม่ขั้นสูง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การชักชวนพ่อแม่ที่ไม่มีธรรมะ ให้มีธรรมะนั่นเอง ในกรณีของคุณ จากที่เล่ามา แสดงว่า คุณคงได้ทำหน้าที่ของลูกระดับพื้นฐานเป็นอย่างดีแล้ว หากคุณปรารถนาจะทำหน้าที่ของตนให้ยิ่งกว่านี้ขึ้นไป ก็ขอแนะนำให้คุณชักชวนพ่อแม่ให้หันหน้าเข้ามาสู่เส้นทางธรรมดีกว่าซึ่งหากคุณทำได้ และท่านทั้งสองเองก็มีความสุข ความเบิกบานกับการดำเนินอยู่บนเส้นทางธรรม ก็เท่ากับว่า คุณได้ทำหน้าที่ของลูกกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างดีที่สุดแล้ว ในครั้งพุทธกาล มีพระสาวกรูปหนึ่งที่พระพุทธเจ้า ทรงยกย่องว่ามีความกตัญญูเป็นยอด ท่านคือ พระสารีบุตร พระสารีบุตรนั้น ท่านเป็นพระอรหันต์ อัครสาวก สอนคนให้บรรลุธรรมมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ยังมีคนๆ หนึ่งที่ท่านยังไม่ได้สอน และหากท่านยังไม่ได้สอนคนๆ นี้ ท่านก็ยังนิพพานไม่ได้ คนที่ว่านี้ก็คือ โยมแม่ของท่านนั่นเอง วันหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ท่านได้กราบทูลลาพระพุทธองค์เพื่อกลับบ้านเกิด เมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้ว ท่านจึงออกเดินทางทั้งๆ ที่ร่างกายระงมด้วยพิษไข้ แต่ถึงกระนั้น ท่านก็บุกบั่นเดินทางไปจนพบหน้าโยมมารดา คืนนั้น ท่านแสดงธรรมโปรดโยมมารดาจนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลเมื่อท่านชำระหนี้ศักดิ์สิทธิ์นี้เสร็จสิ้นแล้ว เช้าตรูวันนั้นท่านก็นิพพานอย่างสงบ ตัวอย่างชีวิตของพระสารีบุตร เตือนให้เราตระหนักรู้ว่า “ถึงจะทำดีกับคนทั้งโลกมาแล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ทำดีกับมารดาบิดาของตน ความดีที่ทำมา ก็ยังนับว่า เป็นความดีอย่างธรรมดาสามัญเท่านั้นเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูกสามารถประดิษฐานมารดาบิดาบังเกิดเกล้าของตนไว้ในดินแดนแห่งธรรมเมื่อนั่นแหละ จึงจะนับว่า ลูกได้ทำความดีที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง” ขอเป็นกำลังใจให้คุณ พยายามทำความดีตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ให้ประเสริฐเลิศล้ำยิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งนี้เพราะ - - “การประสบความสำเร็จในฐานะลูกกตัญญูนั้น เป็นการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นรัฐบุรุษของโลกอย่างไม่มีทาง เทียบกันได้เลย” ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต
^^ ขอบคุณข้อความดีๆ และคติสอนใจค่ะ
ขอบคุณข้อความดีดีจากคุณhutค่า
มีลูกดี แต่ตายแล้ว
มีลูกชั่ว แต่ยังมีชีวิตอยู่
สู้มีลูกดี แต่ตายแล้วเสียยังดีกว่า”
เห็นด้วยค่ะ เพราะประสบกับตัวเองแล้ว ทุกวันนี้พี่ก็คิดถึงความดีที่เค้าทำให้พี่ตอนเค้ามีชีวิตอยู่นี่แหละ
ขอบคุณสำหรับบทความดีดีนะคะ^^
สาธุค่ะลุง...ซึ้งเรื่องแรกจังอ่ะ
^___________^
thanks for such a nice passage na ka
ขอบคุณค่ะ
เรื่องแรกประทับใจมากค่ะ
[SIZE="5"]ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ
หามาให้อ่านอยู่เรื่อยๆเลยค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ:):)