ทำไม PM 2.5 จึงทำให้เรา มีโอกาส ไอเป็นเลือด
ฝุ่นเหรอ ? ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ น่ากลัวกว่าที่คุณคิด....
ตอนนี้คงไม่ต้องบอกว่าอากาศกรุงเทพและ ปริมณฑล อันตรายขนาดไหน
ขอบคุณรูปจาก เพจ We need fresh air
ลิงค์ https://goo.gl/h3TDfM
คนป่วยมากขึ้นรายวัน ใครเดินออกไป แบบไม่ป้องกันด้วยหน้ากากอย่างพอเพียง
ไม่นานจะเริ่มป่วย แสบคอ แสบจมูก เคืองตา ไอ จาม แน่นหน้าอก
และ เลือดออกจมูก ออกปาก...
...พอหนักเข้า ไปเอกซเรย์ปอดจะเริ่มเห็นจุดขาวๆ .. นั่นคือปอดคุณเริ่มไปละ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสัญญาณอันตรายถึงชีวิต
ซึ่งทั้งหมดนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาของ "ฝุ่นเยอะ" เหรอ?
หลายคนบอก บ้านเคยอยู่ติดถนนดินลูกรัง ฝุ่นฟุ้ง ยังไม่เคย ไอเป็นเลือดแบบนี้
เด็กๆ คลุกดินคลุกฝุ่น เคยไหมเลือดออกจมูกออกปาก
ทำไมไม่มีใครบอกความจริงพวกเรา...ว่า
ก็เพราะมันไม่ใช่แค่ "ฝุ่น"
แต่เพราะความจริง มันคือ "ก้อน ซาก พิษ โลหะหนัก ที่ขนาดเครื่องยนต์ยังต้องขับออก คายทิ้ง"
พิษโลหะหนัก ที่เป็นพิษที่น่ากลัวที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ ที่อนุภาคเล็กจิ๋ว แต่อนุภาพการทำลายล้างร่างกายมนุษย์สูงสุดๆ
ถ้านึกถึงภัยของโลหะหนักขนาดเล็กไม่ออก ให้เปรียบเปรยถึง เหยื่อสงครามระเบิดนิวเคลียร์ กลุ่มที่โดนแค่การปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี หรือ ชาวเวียตนามที่โดนฝนเหลืองแบบผิวๆ แต่เลือดออกจากอวัยวะต่างๆของร่างกาย เสียหายไปทุกระบบ ไปจนถึงพิกลพิการกันข้ามเจนเนอเรชั่น
ความน่ากลัวที่เหมือนกันคือ มองไม่เห็น สัมผัสแต่น้อย พิษภัยซึมลึก และ ยาวนาน
นั่นแหละ มันคือพิษโลหะหนัก ... แต่ไม่มีใครอยากสาธยายให้เราฟัง อย่างชัดแจ้ง
เพราะในเมื่อโลกนี้คือ โลกทุนนิยม โลกที่ยังนิยมทุน มากกว่าสุขภาพของผู้คน และ ชีวิตอื่นๆที่อยู่ร่วมด้วย
ก้อนโลหะหนักพิษอนุภาคจิ๋วที่เรียกกันสวยๆว่าฝุ่น PM2.5 จึงเป็นทางออกให้บอกความจริงๆกันผิวๆ ว่าตอนนี้เรามีปัญหา
แต่ ...งานวิจัย Journal วิชาการต่างประเทศ มากมาย พยายามชี้ชัด ว่าองค์ประกอบ ของ PM2.5 นั้น ประกอบด้วย โลหะหนักเต็มๆ ล้นๆ
เมื่อมันเยอะ มันจึงอันตรายต่อชีวิต ไม่ใช่แค่ฝุ่นขนาดเล็กเฉยๆอย่างที่เราๆเข้าใจกัน
(ใครอยากอ่านงานวิจัยต่างประเทศที่เค้าวิจัยกันมานานถึงพิษภัยของ pm2.5 คลิกลิงค์ อ้างอิงด้านล่างได้)
ดังนั้น ที่คุณไอ จนมีเลือดออกมา... มันจึง ไม่ใช่เพราะฝุ่นมันเข้าจมูกเข้าคอ
แต่เพราะมันคือก้อน สารหนู แคดเมี่ยม ซีลีเนี่ยม ตะกั่ว ปรอท โครเมี่ยม เหล็ก และ อื่นๆ นานา ที่ลอยฟุ้งมาในอากาศ มาเข้าจมูก เข้าปาก เข้าปอด และด้วยขนาดจิ๋วของมัน มันจึงเกาะแน่น ฝังลึก อยู่ทุกทาง ทุกที่ในร่างกายที่มันผ่านไปจนถึงสมอง และ ฝังตัวอยู่อย่างนั้น และค่อยๆปล่อยพิษออกมาทำลายอวัยวะนั้น และนี่คือที่มาว่าทำไม แค่ฝุ่นทำให้เลือดออกปาก ก็เพราะมันคือแคดเมี่ยม สารหนู และอื่นๆที่ฝังตัวอยู่ และกำลังปล่อยพิษใส่ร่างกายคุณอยู่ต่างหาก
มีการนำ PM2.5 ที่ตรวจพบในไทย ไปวิเคราะห์หาองค์ประกอบ พบว่า ที่เกินมาตรฐานที่สุด คือ แคดเมี่ยม ค่ามาตรฐานต้องไม่เกิน 4.16 แต่วัดได้ถึง 19.8 นาโนกรัมต่อลูกบาศก์
ขอบคุณรูปจาก ข่าว "นิด้า พบ “ธาตุก่อมะเร็ง” ในฝุ่นละออง PM 2.5 ในระดับต้องเฝ้าระวัง" นำเสนอโดย PPTV
ลิงค์ https://goo.gl/6QSPrL
และ เจ้าสารพิษเหล่านั้น นับเป็นขยะโลหะหนักพิษ ที่โรงงาน และ ยานพาหนะ ยังต้องคัดออกและคายทิ้ง เพื่อให้ระบบไปต่อได้... แต่ร่างกายเรากลับต้อง "รับมันเข้ามาอยู่ในปอด" ในจมูก ปาก ในสมอง ในทุกส่วนของร่างกาย อย่างไม่สามารถสลัดมันออกไปได้
จนพอกพูนสะสม... เริ่มน้ำมูกน้ำตาไหล เริ่มกลายเป็นเสมหะ เพราะร่างกายพยายามขับออก และ หล่อลื่น อาการแห้งผาก แต่เมื่อเจ้าก้อนพิษนั่นยังอยู่ มันจึงเริ่มทำลาย เนิ้อเยื่ออ่อน ให้พัง จนเลือดเริ่มไหล เริ่มหายใจไม่ได้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เรามองเห็น และรู้สึก แต่ดังที่กล่าวไปข้างต้น ว่าแท้จริงแล้ว โลหะหนัก มันคือภัยเงียบที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น เพราะแท้จริงแล้ว ถ้าคุณเริ่มรู้สึกได้ แสดงว่าจริงๆ มันได้ลามไปทำลายร่างกายระบบอื่นๆ ไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าเรายังไม่สามารถรู้สึกได้ ณเดี๋ยวนั้น แต่มันกำลังเริ่มสะสมเป็นโรคร้ายให้คุณอย่างถาวร จนรวมไปถึงความพิกลพิการ ให้แก่ลูกหลาน อย่างเอากลับคืนมาเหมือนเดิมไม่ได้
(ดูเพิ่มเติมได้จากสารคดีสั้นจาก Unicef ในอ้างอิงด้านล่างเรื่องภัยของ PM2.5 ว่าทำลายทั้งร่างกายและสมอง ทั้งทันที และ ถาวร ระยะยาว)
(ตัวอย่าง : สารหนู แคดเมียม เมื่อรับเข้าไปไม่กี่ชั่วโมง จะเริ่มคอแห้ง จมูกแห้ง ไอ แน่นหน้าอก ทำลายระบบหายใจ ปละประสาทตามลำดับและ สารโลหะหนักอื่นๆ ก็มีพิษในอีกหลายรูปแบบ เช่นกัน)
นั่นจึงเป็นสาเหต ให้ชาติที่เจริญแล้ว พยายามอย่างยิ่ง ที่จะ "ไม่ให้มี อนุภาค PM2.5 เกินมาตรฐานโดยเด็ดขาด" "เพราะมันเป็นภัยที่อันตรายถึงชีวิต ทั้งระยะสั้นและ ระยะยาว"
หมายเหตุ ค่าดัชนีที่ใช้วัดในประเทศเรา ยอมให้ตัวเลขสูงกว่าในประเทศที่เจริญ ถึงสองเท่า !!!! สูงกว่าสองเท่าแล้ว ยังเกินอีก แม่เจ้า !!!!
ลองดูภาพประกอบด้านล่าง แถบเขียวคือ ค่ามาตรฐานโดย WHO ว่าห้ามเกินนี้ ส่วนแถบ ส้มจางๆขวามือ คือ ค่ามาตรฐานของไทยเรา ซึ่งสูงกว่าค่าของ WHO สองเท่าตัว แต่ตอนนี้ประเทศเรายังมี PM2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานของตัวเองที่ปกติก็สูงลิบ จึงไม่รู้จะบรรยายถึงความอันตรายยังไงเลย ว่ามันเลยคำว่าปลอดภัยมานาน และเข้าโซนอันตราย จนถึงวิกฤติแล้ว
ขอบคุณรูปจาก ข่าว "ตกมาตรฐานโลก ผ่านมาตรฐานไทย! สุดมึน ไฉนค่าวัดฝุ่นละออง PM2.5 ไม่เท่ากัน?" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ลิงค์ https://goo.gl/QQaebe
แล้วเรา ทำอย่างไร เมื่อเรายังต้องอยู่ที่นี่
อย่างแรก คือ หากมีอาการดังกล่าว ให้หลีกเลี่ยง และ ยอมทน ใส่หน้ากากที่กัน อนุภาค PM2.5 ได้ แม้มันจะหายใจยากก็ตาม อยู่ในอาคารปิด และ เปิดเครื่องฟอกอากาศ และหมั่นตรวจเช็คไส้กรอง เพราะสภาวะแวดล้อมเป็นพิษเช่นนี้ ไส้กรองจะเสื่อมไวขึ้นหลายเท่านัก แต่เท่านี้ก็คือกันได้แค่ระดับหนึ่ง เพราะอนุภาคมันเล็กจนเล็ดลอดเข้าร่างกาย และฟุ้งทั่วไปทุกที่ที่เราอาศัย แม้เราจะปิดหน้าต่างและเปิดเครื่องฟอกอากาศก็ตาม
นั่นเป็นเหตุผล ที่ต้องทานคลอเรลล่าทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงนี้ เพิ่มโดสเข้าไปหน่อย... เพราะพิษที่เล็ดลอดเข้าไป มันจะฝังตัวอยู่ตามส่วนต่างๆของอวัยวะภายใน และเริ่มทำลาย โดยที่ร่างกายขับออกเองไม่ได้ แต่คลอเรลล่าเป็นอาหารอย่างเดียว ที่โลกบันทึกไว้เสมอว่า ช่วยมนุษย์ ทุกครา ที่โดนภัยจากพิษโลหะหนัก
ไม่ว่าจะช่วยชาวญี่ปุ่นทั้งชาติ แบบที่ชาวญี่ปุ่นเองต้องจารึกไว้ ว่าคลอเรลล่าช่วยกู้ชาติเค้าจากวิกฤตโรคอิไตอิไต 1912 (โรคจากแคดเมี่ยมรั่วไหล) Nihon Eiseigaku Zasshi. 1975 Apr;30(1):77 หรือ ตอนแม้แต่ตอนที่เกิดวิกฤติกัมมันตภาพรังสีเชอโนบิลในโซเวียต
ที่ทำให้ผู้คนป่วยกันจนทุกวันนี้ เนื่องจากพิษโลหะหนักนั้น ฝังแน่นฝังนานในตัวมนุษย์ จนเป็นต้นเหตของโรคร้ายนานาชนิด อย่างที่ไม่มีอะไร ขับพิษนี้ออกได้
นอกจาก คลอเรลล่า ที่กลไกธรรมชาติ ของมัน ดูดจับโลหะหนักได้ด้วยตัวเอง จนหลายครั้งที่หนังสือทั่วโลกเรียกว่า เป็นน้ำพุแห่งความเยาววัย เพราะเมื่อเอาพิษออก ความอ่อนเยาว์ก็กลับคืนมาได้
หากอยากอ่านเพิ่มเติม ลองค้นภาษาอังกฤษด้วยคำว่า Chlorella detox heavy metal จะเจองานวิจัยต่างชาติมากมายตั้งแต่อดีตย้อนไปเกือบร้อยปี จนปัจจุบัน
แต่ก็จงระวังคลอเรลล่าที่ปนเปื้อน กินไปกินมา จะกลายเป็นได้พิษแทนหากไปเจอยี่ห้อที่ไม่ปลอดภัยจริง
(ทำไมต้องคลอเรลล่าของเฟบิโก้เท่านั้น https://goo.gl/kSR4Bw)
อย่างที่สอง เมื่อเรารักษา เฉพาะหน้า และ เอาพิษออกด้วยกลไกธรรมชาติแล้ว ต่อมาจึงเป็นการป้องกัน เพื่อไม่ให้เราต้องกลับไปอยู่ในสภาพ พิษโลหะหนักเกาะกินในร่างกายจนเลือดออกปากออกจมูก
นั่นก็คือ ปลูกต้นไม้ที่ดูดซับ CO2 และ ก๊าซพิษต่างๆ เพิ่มให้แน่นๆ อยากรู้ค้นหาเพิ่มเติมเป็นภาษาอังกฤษ มีงานวิจัยเพียบ ตั้งแต่ NASA ยันท้องถิ่นเลยทีเดียว
วันนี้จึงขอจบเพียงเท่านี้ และ ขอให้ทุกคนมีปอดที่บริสุทธิ์สะอาด ปลอดภัยจากโลหะหนัก
.... และ ทิ้งท้ายไว้สั้นๆอีกครั้ง ว่า เพราะ pm2.5 มันไม่ใช่แค่ฝุ่น.. แต่มันเป็นซาก ขยะพิษ ที่เครื่องยนต์ยังต้องขับทิ้ง แต่กลับมาอยู่ในร่างกายเรา
...แต่เราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน ให้ได้
ขอให้ผู้อ่านทุกคนโชคดี และ ปลอดภัย อย่าตื่นตระหนก
แต่ไม่ละเลยที่จะดูแลป้องกันตัวเองอย่างมีสติ
................................
งานวิจัยต่างประเทศที่เค้าวิจัยกันมานานถึงพิษภัยของ PM2.5
https://pdfs.semanticscholar.org/ba0e/c3f16f7fba1ae330b10caf701144d8f06573.pdf
https://asia.nikkei.com/Business/Science/Scientists-shed-light-on-PM2.5-with-new-electron-microscope?fbclid=IwAR1jJtEYH_09PwtI4-0_Fsj2uZgcemNwjhbTTDh6edvxjkoz7YKEcrrpaJU
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4956698/?fbclid=IwAR2IcIWhgxfkl4bHmStRpQXYoGtDrnZrphixCdWBQwQA0VyHzO-z-z_o-Kk
https://www.tandfonline.com/doi/abs/10.1080/10807039.2015.1017873?journalCode=bher20&fbclid=IwAR3kcUBrCk3T2FoNfcMJWQknUaEL82bC18dS14-BAPyixiixjobTALfQCYs
ภัยของ PM 2.5 ทำไมเด็กกับคนชรา ยิ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง มาดูกันว่า PM2.5 ทำลายร่างกายเรายังไง
สารคดีสั้นจาก องค์กร Unicef
Contented by sbntown @ Sbntown