ทำไม คอลลาเจนถึงแน่นขึ้น หลังจากทานคลอเรลล่า อย่างต่อเนื่อง ?? -- ตรรกะ ข้อเท็จจริง ทางวิทยาศาสตร์
โดย bit
bit
#1
ทำไม คอลลาเจนถึงแน่นขึ้น หลังจากทานคลอเรลล่า อย่างต่อเนื่อง ?? -- ตรรกะ ข้อเท็จจริง ทางวิทยาศาสตร์

มีการค้นพบว่า ร่างกายของคนสามารถสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ จนถึงอายุประมาณ 30 และ หลังจากนั้น ความสามารถในการสร้างคอลลาเจน จะลดน้อยลงปีละ ประมาณ 1.5% จน เมื่อเราอายุ 40 ความสามารถในการสร้างคอลลาเจนของเราจะเหลือเพียง 85% ของของเดิม จึงทำให้คอลลาเจนเราเริ่มไม่พอใช้งาน จนมีการสำรวจพบว่า ปริมาณคอลลาเจนที่ผิวของเราจะหายไป ประมาณ 30% เมื่ออายุ 45 ปี

มีการวิจัยเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหานี้ และ พบว่า คอลลาเจน ถูกผลิตจากเซลล์ชนิดหนึ่งในร่างกาย ชื่อ ไฟโบรบราส (Fibrobrasts) ซึ่งอุปมาแล้วเหมือนโรงงานผลิตคอลลาเจนของร่างกาย ในพื้นที่ที่ต้องใช้คอลลาเจนเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นผิวหนัง จะมีไฟโบรบราสอยู่หนาแน่นมากกว่าส่วนอื่น เพื่อคอยผลิตคอลลาเจนเติมให้ร่างกายส่วนนั้น และ สาเหตุหลัก ที่ทำให้ร่างกายในแต่ละส่วนมีคอลลาเจนไม่พอใช้งาน นั่นก็เพราะ ไฟโบรบาส บริเวณนั้น เสียหายสะสมจนเสื่อมสภาพ ไม่สามารถผลิตคอลลาเจนได้ ปริมาณเท่าเดิมอีกต่อไป


รูป การเสื่อมของ ไฟโบรบราส เซลล์ที่ทำใหน้าที่ผลิตคอลลาเจน
ขอบคุณรูปจาก https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1606623/

ข้อมูลอ้างอิงจาก
https://health.kapook.com/view3995.html
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1606623/


มีการวิจัยพบว่า เซลล์ ของเรา ถูกทำให้เสียหายจนถึง DNA กว่า 10,000 ครั้ง ต่อ เซลล์ ต่อ วัน จากทั้งการเผาผลาญแคลลอรี่ และ ปัจจัยในการดำรงชีวิตที่เป็นพิษ

แม้ว่าเซลล์ของเรามีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง รวมถึงซ่อมแซม DNA ของตัวเอง ซึ่งก็ต้องทำงานกว่า 10,000 ครั้ง ต่อวัน

เมื่อครั้งใด ที่เซลล์ซ่อมแซม DNA ของตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ไม่สมบูรณ์ เซลล์จะเริ่มสูญเสียความสามารถ ซึ่ง เมื่อ DNA ที่ไม่สมบูรณ์มีการสะสมมากขึ้น เซลล์จะเสื่อมสภาพทำงานไม่ได้

เมื่อ DNA ของไฟโบราสเสียหายสะสม จะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงเรื่อยๆ ส่งผลโดยรวมให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงเรื่อยๆ จนไม่พอใช้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา แม้แต่ ณ เวลานี้



แล้วเราทำอะไรได้บ้าง?

เมื่อมีการศึกษากลไกการซ่อม DNA ของเซลล์อย่างละเอียด มีการค้นพบว่า เซลล์จำเป็นต้องใช้สารอาหารชื่อ กรดนิวคลีอิก สำหรับเป็นอะไหล่ ในการซ่อม DNA

มีการตั้งข้อสมมุติฐาน โดย นายแพทย์ Benjamin S. Frank ชาวอเมริกัน ว่า หากร่างกายได้รับกรดนิวคลีอิก อย่างเพียงพอ (ไม่ขาดอะไหล่ DNA) จะสามารถลดทอนปัญหาการซ่อม DNA ไม่สมบูรณ์ ของเซลล์ได้ ส่งผลให้เซลล์สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น

หมอ Benjamin S. Frank ได้ทดสอบสมมุติฐาน โดยให้คนไข้ได้ทานอาหารที่มีส่วนประกอบของกรดนิวคลีอิก คิดเป็น 1 - 1.5 กรัม ต่อวัน เป็นเวลา ติดกัน 2 เดือน จนสุดท้ายค้นพบว่า ริ้วรอยบนใบหน้าเริ่มหายไป และ เริ่มมีพัฒนาการของ ผิวพรรณที่ดูเด็กลง จนมีลักษณะใกล้เคียง กับคนที่มีอายุน้อยกว่า 6 - 12 ปี

การทดสอบของหมอ Benjamin S. Frank แสดงให้เห็นว่า การได้รับกรดนิวคลีอิกอย่างเพียงพอ ส่งผลให้เซลล์สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น จนสามารถกลับมาทำงานได้ดีขึ้นกว่าตอนก่อนฟื้นฟู จากที่ร่างกายของคนไข้ สามารถกลับมาผลิตคอลลาเจนได้มากขึ้น กว่าตอนก่อนเริ่มทดสอบ


หลังจากนั้น มีการวิจัยพบว่า คนไข้ฟื้นจากการฝ่าตัดได้เร็วขึ้น จากการได้รับกรดนิวคลีอิกปริมาณ 30 มิลลิกรัม ต่อ กิโลกรัมน้ำหนักตัว ต่อ วัน หมายถึง ถ้าน้ำหนัก 60 กก. จะได้รับกรดนิวคลีอิกวันละ 30mg x 60 = 1,800mg = 1.8 กรัม ซึ่ง เป็นปริมาณที่ใกล้เคียงที่ หมอ Benjamin S. Frank เคยใช้ทดสอบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เซลล์สามารถฟื้นฟูตัวได้ดีขึ้น จนส่งผลให้ร่างกายโดยรวมสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น ตามสมมุติฐานของหมอ Benjamin S. Frank

ข้อมูลอ้างอิงจาก


รูป หนังสือ No Aging Diet เขียนโดย นายแพทย์ Benjamin S. Frank
(ขอบคุณรูปจาก http://www.paperbackswap.com/Dr-Franks-Aging-Benjamin-S-Frank/book/0803753497/)

ข้อมูลอ้างอิงจาก
http://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-804-rna%20and%20dna.aspx?activeingredientid=804&activeingredientname=rna%20and%20dna
http://www.secrets-of-longevity-in-humans.com/chlorella-facts.html


จากข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ การเติมอะไหล่ DNA ด้วยการทานกรดนิวคลีอิกเสริมอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูและคงสภาพการผลิตคลอลาเจน ให้พอใช้งานได้มากขึ้น ซึ่ง วิธีการนี้อาจเป็นคำตอบสุดท้ายเรื่องคอลลาเจน ของคุณก็เป็นได้ (รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆที่เกิดจากเซลล์เสื่อมเกินธรรมชาติด้วย)

การทานกรดนิวคลีอิกเสริม เป็นการเสริมสารอาหารธรรมชาติให้กับร่างกายรูปแบบหนึ่ง เมื่อทานในปริมาณที่เหมาะสมนั้น ไม่มีอะไรเสียหายที่จะทดสอบ

จะหาแหล่งกรดนิวคลีอิก คุณภาพสูงจากธรรมชาติ ที่ปลอดภัยไม่มีสารสังเคราะห์ ได้จากที่ไหน ?

กรดนิวคลีอิกที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพสูง คือ กรดนิวคลีอีกพร้อมใช้ ไม่ต้องผ่านการย่อย เซลล์สามารถนำมาใช้งานได้ทันที และ กรดนิวคลีอิก ที่ถือว่ามีคุณภาพสูงสุด คือ กรดนิวคลีอิกพร้อมใช้ ที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง มีความเป็นออร์กานิก ไม่มีสารสังเคราะห์ กรดนิวคลีอิกคุณภาพสูงสุดนี้ พบได้ในพืชน้ำเซลล์เดียว ที่ชื่อว่า คลอเรลล่า ซึ่ง คลอเรลล่า คือ สิ่งในธรรมชาติที่มีปริมาณกรดนิวคลีอิกสูงที่สุดในโลก 13% ของน้ำหนักตัว


รูป คลอเรลล่า
ขอบคุณรูปจาก http://thescienceofeating.com/vegetables/benefits-of-chlorella/


คลอเรลล่าเป็นพืชน้ำเซลล์เดียว ที่จะรวบรวมสารอาหารจากธรรมชาติที่อยู่อาศัยเข้ามาไว้ในตัว คุณภาพสารอาหารของคลอเรลล่า จึงขึ้นอยู่กับคุณภาพของแหล่งเลี้ยง หากแหล่งที่เลี้ยงคลอเรลล่า มีความเป็นออร์กานิก ไม่มีสารสังเคราะห์เจือปน สารอาหารที่อยู่ในคลอเรลล่า จึงจะมีความเป็นออร์กานิก และ สามารถให้กรดนิวคลีอิก ที่มีคุณภาพสูงสุดได้ (จึงเป็นเหตุผลให้ การเลือกทานคลอเรลล่า ควรเลือก ที่เป็นออร์กานิก เท่านั้น)

ด้วยข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ การทานคลอเรลล่า (ที่เป็นออร์กานิก) ผู้ที่ทานจะได้รับสารอาหารกรดนิวคลีอิกที่มีคุณภาพสูงสุด (พร้อมใช้ ออร์กานิก) ไปใช้ซ่อม DNA ช่วยให้เซลล์สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น ซึ่ง เมื่อทานอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะสามารถ ฟื้นฟูและคงสภาพการผลิตคอลลาเจนให้พอใช้งาน ได้มากขึ้น ส่งผลให้ ร่างกายสามารถสะสมคอลลาเจนได้มากขึ้น คอลลาเจนเริ่มแน่นขึ้น จนมองเห็นจากภายนอกได้ ในที่สุด

การทานคลอเรลล่าอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยในการชะลอวัยได้ตั้งแต่ภายในระดับเซลล์ จนสามารถมองเห็นได้จากภายนอก ที่สามารถคงสภาพความอ่อนเยาว์ตามธรรมชาติ ไว้ได้นานขึ้น ถึงแม้จะเริ่มทานตอนหลังอายุ 30 ก็ยังสามารถช่วยป้องกันและฟื้นฟูเซลล์ที่ยังเหลืออยู่ได้



เพิ่มเติม เกี่ยวกับ คลอเรลล่า และ การเลือกคลอเรลล่า

นอกเหนือจากการมีกรดนิวคลีอิกคุณภาพสูง แล้ว อีก 60% ของน้ำหนักตัว ของคลอเรลล่า คือ โปรตีนคุณภาพสูง (กรดอะมิโนพร้อมใช้) ครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ ซึ่ง เซลล์สามารถนำไปใช้ซ่อมแซม ส่วนอื่น นอกเหนือจาก DNA (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่)

ส่วนอื่นที่เหลือของคลอเรลล่า ประกอบด้วย คลอโรฟิลด์ สารต้านอนุมูลอิสระ และ สารที่มีความสามารถในการขับพิษหลายชนิดออกจากร่างกาย โดยเฉพาะโลหะหนัก ที่มักปนเปื้อนอยู่ในปัจจัยการดำรงชีวิต เป็นอีกสิ่งที่ทำลายเซลล์ได้ถึง DNA (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่)

คลอเรลล่าจึงเป็นพืชธรรมชาติ ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายในระดับเซลล์ ช่วยปกป้องฟื้นฟูระดับเซลล์ของร่างกาย ที่ส่งผลโดยตรงต่อการชะลอวัย รวมทั้ง ลดทอนปัญหาสุขภาพต่างๆที่เกิดจากเซลล์เสื่อมเกินธรรมชาติ

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ คลอเรลล่า จึงถูกใช้โดย ดารา นางแบบระดับโลกมากมาย ในการรักษารูปร่าง และ ผิวพรรณ ให้สามารถคงสภาพความอ่อนเยาว์ตามธรรมชาติไว้ได้



Rosie Huntington-Whiteley (นางแบบ Victoria Secret และ นักแสดง Transformer 3: Dark of the Moon)
ข้อมูลจาก http://www.hellomagazine.com/cuisine/2015101627039/celebrity-superfood-secrets-benefits/


ทำไมต้อง "คลเรลล่า ที่ปลอดภัย" เท่านั้น

คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียว ที่มีความสามารถในการดักจับโลหะหนักสูง ดังนั้น คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนของโลหะหนัก ก็จะดักจับโลหะหนัก ในแหล่งน้ำนั้นๆ มาเก็บไว้ที่ตัวเอง

ดังนั้น เมื่อทานคลอเรลล่า ที่มีการปนเปื้อน โลหะหนัก ก็เท่ากับร่างกายได้รับพิษโลหะหนักเพิ่มจากคลอเรลล่า แทนที่คลอเรลล่าจะมาขับล้างพิษโลหะหนักในร่างกายออกไป

โดยหลักการนี้ การทานคลอเรลล่า ที่ไม่สามารถการันตี "ความปลอดภัย" ได้ จะยิ่งทำให้ร่างกายสะสมพิษมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะในสถานการณ์วิกฤติหรือไม่ ก็ตาม

การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเลือก คลอเรลล่า เป็นออร์แกนิกส์ 100% เพื่อการันตี ว่า จะไม่มีสิ่งพิษปนเปื้อนเข้ามาสู่ร่างกายเรา แทนที่จะมาช่วยร่างกายขับพิษ

โดยที่ คลอเรลล่า ที่ได้รับการการันตีว่า เป็น ออร์แกนิกส์ 100% นั้น ถือว่าเป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่สะอาด ปลอดภัย สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย และ สามารถทานต่อเนื่องได้ ตลอดชีวิต
ดูกระทู้ทั้งหมดในชุมชน จาก  Downtown ดูกระทู้ในหมวด ดูกระทู้ในหมวดย่อย
กระทู้แนะนำจากการคัดเลือกอัตโนมัติ
1
2
3