ทำไม ไม่รู้จัก คลอเรลล่า ให้เร็วกว่านี้ ?? T T
โดย bit
bit
#1
คลอเรลล่า (Chlorella) คือ ??

พืชน้ำเซลล์เดียว ที่เกิดมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของสิ่งมีชีวิตบนโลก (หลายพันล้านปีก่อน) ชื่อ คลอเรลล่า นั้นมาจาก ศัพท์กรีกโบราณ ที่แปลว่า "สีเขียว" เนื่องจาก สีของคลอเรลล่า ที่มีสีเขียวเข้ม ซึ่ง มาจากคลอโรฟิลด์ คลอเรลล่า เป็น สิ่งมีชีวิต (พืช) ที่มี ปริมาณ คลอโรฟิลด์ ต่อน้ำหนัก มากที่สุด ในโลก (มากกว่า หญ้าอัลฟฟ่า 10 เท่า และ มากกว่า สาหร่ายสไปรูริน่า 4 เท่า)



อย่างที่เรารู้กัน ว่า คลอโรฟิลด์ ที่มีในพืชนั้น ทำหน้าที่ สังเคราะห์แสง และ ผลที่ได้จากการสังเคราะห์แสง คือ อ๊อกซิเจน

เรารู้กันว่า อ๊อกซิเจน นั้น คือ สารสำคัญ ที่เราต้องใช้ ในการหายใจ แต่นั่นยังไม่จบ


ที่ผ่านมา เราเคยเห็น เหล็ก ที่ถูกทิ้งไว้กลางแจ้ง ให้ตากลม ตากฝน ไหมครับ พอวันเวลาผ่านไปนานๆ เข้า สิ่งที่เราเห็น เกิดขึันกับเหล็ก นั้น คือ "สนิม" สนิมนั้น เกิดจาก อ๊อกซิเจน ทำปฏิกริยาบางอย่างกับเหล็ก จน หลุดเข้าไปแทรก ระหว่างโมเลกุลของเหล็กได้ (ปฏิกริยานั้น ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า อ๊อกซิเดชั่น) และ เหล็กที่เป็น สนิม นั้น จะเห็นว่า จะเปราะ และ ใช้งานไม่ได้ ส่วนใหญ่เราต้องนำไปทิ้ง นั่นหมายถึง "เหล็ก" ยัง "เสื่อม" จนเปราะได้ เมื่อทำปฏิกริยากับอ๊อกซิเจน


ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.oknation.net/blog/estimate/2009/11/26/entry-1
ขอบคุณรูปภาพจาก http://hybel.deviantart.com/art/Rust-Texture-4345834


คำถามคือ ร่างกายเราหล่ะ ไม่ "เสื่อม" เพราะปฏิกริยาออกซิเดชั่น บ้างหรือ แล้ว ถ้า "เสื่อม" ทำไมเราอยู่มาได้หลายสิบปี ทั้งๆ ที่เหล็ก อยู่มาได้ไม่นานก็เปราะ

พอเรารู้ว่า เหล็กนั้น อยู่กลางแจ้งไม่นาน ก็เป็นสนิม และรู้ว่าเป็นเพราะสัมผัสกับอ๊อกซิเจน เราเลยคิดค้นวิธีการง่ายๆ ขึ้นมา นั่นคือ เอาสีน้ำมัน มาทาเคลือบ และ การนำสีน้ำมันมาทาเคลือบ จะสามารถป้องกัน อ๊อกซิเจน มาสัมผัสกับเหล็ก โดยตรงได้ จะเห็นว่า หลังจากทาสีน้ำมันแล้ว เหล็ก เราจะไม่เห็นการเป็นสนิม จนว่า สีน้ำมันจะลอก และ เราจะเริ่มเห็น ส่วนที่สีน้ำมันลอกแล้วนั้น เป็นสนิมก่อน นั่นแสดงว่า การทาสีน้ำมันนั้น สามารถ "ป้องกัน" การเป็นสนิมได้จริง


ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.dreamstime.com/stock-images-metal-door-warship-image10290544
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.texturezine.com/gallery/white-rust-texture-02/


ระบบร่างกายเราเอง ก็มีการป้องกัน การเสื่อม จากการสัมผัสออกซิเจน ในลักษณะเดียวกัน โดยที่ร่างกายจะผลิตสารออกมา ป้องกัน ออกซิเจนเข้ามาทำปฏิกริยา กับร่างกายโดยตรง ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมได้ สารนั้น เรียกว่า "สารแอนตี้อ๊อกซิเดชั่น" หรือ "สารต้านอนุมูลอิสระ" ที่เราน่าจะเคยได้ยินกันครับ แต่สารนี้ ร่างกายมักจะสร้างมาไม่พอใช้ เพราะ สารอาหารไม่ครบ เลยต้องมีการทานเสริม จากภายนอก



คราวนี้ กลับมาดู คลอเรลล่ากันต่อ

ในเมื่อเป็น พืชเซลล์เดียว ที่มี ปริมาณคลอโรฟิลด์ ต่อน้ำหนัก สูงที่สุด แปลว่า หลังจาก สังเคราะห์แสงได้แล้ว จะมีปริมาณอ๊อกซิเจน ต่อน้ำหนักตัว มากที่สุดด้วย

คำถามคือ ทำไมเซลล์คลอเรลล่า ถึง ไม่เสื่อม ??

หลังจาก ที่นักวิทยาศาสตร์ ได้ หาคำตอบของคำถามนี้ จึงพบข้อเท็จจริงว่า คลอเรลล่า เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มี สารต้านอนุมูลอิสระ ในตัวเอง สูงมาก ถือได้ว่า สูงที่สุดตัวหนึ่งของโลก (จริงๆแล้ว โดยตรรกะ ควรจะต้องสูงที่สุดในโลก แต่ยังไม่พบข้อมูลยืนยันครับ) และ ที่สำคัญ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่คลอเรลล่าใช้ในเซลล์ของตัวเองนั้น เซลล์ร่างกายเรา สามารถใช้สารนั้นได้ด้วย!!! (สารต้านอนุมูลอิสระ สามารถมีได้หลายรูปแบบครับ)

ยังไม่จบครับ ด้านบนนี้ (คลอโรฟิลด์ และ สารต้านอนุมูลอิสระ) เป็นของแถม ที่ร่างกายจะได้รับ จากการทานคลอเรลล่า กำลังจะเข้า ฟังก์ชั่นหลักครับ
bit
#2

ฟังก์ชั่นหลักของคลอเรลล่า ที่ช่วยร่ายกายเราได้ อย่างไม่มีตัวอื่น เทียบได้

โลกเรา ก่อนที่จะปรับตัวเข้าสู่สมดุลอย่างทุกวันนี้ เคยผ่านช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ของเปลือกโลก และ ชั้นบรรยากาศมาก่อน เราทุกคนคงเคยได้ยินเรื่อง การสูญพันธุ์ ของไดโนเสาร์ และ สัตว์ ยุคก่อน หลายๆ ชนิดมากมาย และ เราทุกคนคงได้ยินข่าว การขุดพบซากสัตว์ สมัยก่อน อยู่อย่างต่อเนื่อง


ขอบคุณรูปจาก http://www.dailydinosaurdigs.com/


"ขุดพบ" นั้น หมายถึง เราต้องขุดลงไปใต้พื้นดิน จึงจะพบ นั่นหมายความว่า ในขณะที่โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงนั้น มีการเกิดการทับถม ของผิวดิน ขึ้นมาเรื่อยๆ ว่ากันง่ายๆ สิ่งที่เคยเป็นผิวดินในอดีต ในตอนนี้ จะกลายเป็นอยู่ใต้ดิน

และ สิ่งที่มนุษย์เจอ ใต้ดินนั้น ไม่ได้มีแค่ซากสัตว์ แต่มี แร่ธาตุต่างๆ ที่ปัจจุบัน มนุษย์ขุดขึ้นมาใช้ เพื่อทำอุตสาหกรรม ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่นั้นเป็นโลหะหนัก และ ยังมี แร่ที่เป็นกัมมันตภาพรังสีด้วย



นั่นหมายความว่า เคยมีช่วงเวลาหนึ่งในอดีต ที่แร่เหล่านี้ อยู่บนผิวโลก และ นั่นหมายความว่า ช่วงเวลานั้น คือช่วงเวลา ที่ผิวโลก เต็มไปด้วย สารที่มีพิษ ต่อสิ่งมีชีวิต ทั้งโลหะหนัก และ ทั้งกัมมันตภาพรังสี ซึ่ง เป็นเงื่อนไขที่ สิ่งมีชีวิต ไม่น่าจะสามารถอยู่รอดได้

คำถามคือ ทำไมคลอเรลล่า ถึง อยู่รอดผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ??

หลังจาก ที่นักวิทยาศาสตร์ ได้ หาคำตอบของคำถามนี้ จึงพบข้อเท็จจริงว่า คลอเรลล่า มีกลไกการกำจัดพิษ จากทั้งโลหะหนัก และ สารกัมมันตรังสี ที่ยอดเยี่ยม ภายในเซลล์ของคลอเรลล่า มีการผลิตโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่เป็นเหมือนกาวสำหรับติดโลหะหนักโดยเฉพาะ (ไม่ติดตัวอื่น) อยู่ในของเหลวภายในเซลล์ของตัวครอเรลล่า และ มีปริมาณมากที่เคลือบอยู่ที่ผนังเซลล์ด้านใน ของตัวคลอเรลล่า

เมื่อมีสารพิษจำพวก โลหะหนัก หรือ แม้แต่อนุพันธ์ของโลหะหนัก (อย่างพวก ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช ฯลฯ) หรือ สารกัมมันตรังสี เข้ามาในเซลล์ จะถูกโปรตีนที่เป็นเหมือนกาว เกาะติดไว้ ไม่ให้เข้าไปรบกวนการทำงานของระบบต่างๆ ภายในเซลล์ และ เมือ ของเหลวในเซลล์ มีการเคลื่อนที่ ก้อนโปรตีน และ โลหะหนัก ที่โดนโปรตีนจับไว้นั้น จะถูกพัดไปตามการเคลื่อนที่ของของเหลว และ ติดอยู่ที่ผนังเซลล์ ที่มีโปรตีนแบบเดียวกันอยู่จำนวนมากในที่สุด เพื่อรอการขับออกจากเซลล์

ซึ่ง กลไกนี้ เป็นกลไก ที่หาได้ยากยิ่ง ที่ทำให้คลอเรลล่า ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่ต้องอยู่กลางแจ้ง เพราะต้องอาศัยแสงอาทิตย์ ในการดำรงชีวิต นั้น สามารถผ่าน ช่วงเวลา ที่โลกเต็มไปด้วยสารพิษมาได้ และ อยู่มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งๆ ที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ แทบทั้งหมด ในยุคเดียวกัน หรือ แม้แต่ยุคหลังๆ ได้สูญพันธุ์ไปแทบหมดสิ้น

และ ถึงแม้ว่า คลอเรลล่า จะอยู่ในรูปอาหารเสริมแล้ว โปรตีน ที่เหมือนเป็นกาว จับสารพิษ ก็ยังอยู่ครบถ้วน ทั้งที่ภายในเซลล์ ของคลอเรลล่า และ ที่ผนังเซลล์ แปลว่า ในการขับพิษของร่างกาย หลังจากทานอาหารเสริมตัวนี้แล้ว ร่างกายเราจะได้รับกลไกการขับพิษของคลอเรลล่า ซึ่ง พิเศษมากๆ มาช่วยเราขับพิษ!!! (เพราะโลกเราในปัจจุบัน กำลังเริ่ม มีสภาพใกล้เคียง กับโลก ยุคที่เต็มไปด้วยสารที่มีพิษต่อสิ่งมีชีวิต มากขึ้นทุกๆที)

กลับมาที่ตัวคลอเรลล่าต่อครับ หลังจากนักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาและเข้าใจกลไกพื้นฐานแล้ว และ เริ่มศึกษาลงลึกเกี่ยวกับ คลอเรลล่ามากขึ้น ก็ยิ่งพบบางอย่าง ที่ต้องอึ้งขึ้นไปอีก

จากที่เราทุกคนเคยเรียนมา ว่า หน้าที่ ของ "โปรตีน" คือ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย แต่ส่วนใหญ่ เราไม่ได้ตั้งคำถามไปลึกกว่านั้น ว่า โปรตีนนั้น ไป ซ่อมแซม ร่างกายที่สึกหรอ อย่างไร

โปรตีน เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของสารอาหารที่ประกอบด้วย สารอาหารตัวเล็กๆ ที่เรียกว่า "กรดอะมิโน" ซึ่ง โดยปกติ แล้ว ร่างกายเรา เวลาสึกหรอนั้น ต้องใช้ สิ่งที่เรีกว่า "กรดอะมิโน" นี้ ไปเป็นชิ้นส่วน ในการบำรุงรักษา เมื่อมีการสึกหรอ
ดังนั้น หน้าที่โดยรวมๆ ของโปรตีน ที่มีต่อร่างกาย คือ เป็น "อะไหล่" ของส่วนต่างๆ ของร่างกาย ที่ต้องใช้ ในการบำรุงรักษา ร่างกาย ที่เป็นกลไก อันซับซ้อน ที่ธรรมชาติออกแบบไว้ให้เรา ซึ่ง แต่ละส่วนของร่างกายเอง ก็ต้องการ "อะไหล่" ที่หน้าตาไม่เหมือนกัน ดังนั้น เลยมีการศึกษาพบ และ นิยาม "กรดอะมิโน" ขึ้นมาหลายๆตัว พูดง่ายๆ คือ การจัดกลุ่ม ชิ้นส่วน ที่เป็นอะไหล่ของร่างกาย ว่ามีกี่ประเภท


ขอบคุณรูปจาก http://www.vanvlietxl.com/group/english/home.aspx


คราวนี้มาดูต่อครับ ว่าเวลาที่เราใช้ชีวิต ใช้ร่างกายอยู่ทุกวัน หนักกว่าการการใช้รถยนต์เสียอีก เราใช้รถยนต์ เรายังเห็นว่ารถยนต์ยังสึกหรอได้ต้องมีเช็คตามระยะ เปลี่ยนอะไหล่ พอเรารู้ว่า รถเรา มีชิ้นส่วนสึกหรอ ต้องเปลี่ยน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยน เรายังกลัวที่จะขับ

แต่เรากลับใช้ร่างกายเราอยู่ทุกวัน (ยิ่งเรารับสารพิษเข้าร่างกายด้วย ร่างกายยิ่งจะสึกหรอเร็วมากเป็นพิเศษ) โดยที่ไม่รู้เลย ว่า มีชิ้นส่วนกลไกไหนสึกหรอ และ มีอะไหล่เปลี่ยนไหม


นี่เป็นปัญหา อีกปัญหา ที่เราทุกคนเจอ นอกจากเริ่มรู้ ว่าร่างกายสะสมสารพิษครับ
(สัญญาณ 7 ประการ ที่บอกว่า ร่างกายของเราสะสมพิษ มามากเกินพอ อ่านได้ที่นี่)

โดยปกติ เราบริโภค โปรตีนในมื้ออาหารทุกวัน แต่คำถามคือ เรารู้ได้อย่างไร ว่าโปรตีน ที่เราบริโภค ในมื้ออาหารปกตินั้น มี อะไหล่ (กรดอะมิโน) ทุกชนิด ในปริมาณเพียงพอ

โดยปกติ เมื่อเรารับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่ง เป็นก้อนโปรตีนขนาดใหญ่แล้ว ร่างกายจะต้องทำการย่อยก้อนโปรตีนนั้น ด้วยน้ำย่อย จนได้โปรตีนขนาดเล็กลง (โพลีเปปไทด์) และ นำไปใช้ และ ถ้าเหลือใช้ ก็จะถูกกลไกของร่างกาย นำมาแยกย่อยต่อ ให้เป็นโปรตีนตัวเล็กลงอีก (เปปไทด์) เพื่อนำไปใช้ เป็นอะไหล่ ของกลไก ขนาดเล็กลงของร่างกาย และ ถ้าเหลือ ก็จะถูกนำมาแยกย่อยต่อ จนเล็กลงเรื่อยๆ จนเหลือ เป็นขนาดเล็กที่สุด คือ "กรดอะมิโน" สำหรับ ซ่อมบำรุง กลไกภายใน หน่วยย่อย ขนาดเล็กที่สุดของร่างกาย นั่นคือ "กลไก ระดับ เซลล์"



แปลว่า เซลล์ นั้น จะได้รับอะไหล่ ในการซ่อมบำรุงตัวเอง เป็นลำดับสุดท้าย หลังจาก ที่ส่วนอื่นๆ ได้รับ

นั่นแปลว่า ตำแหน่ง กลไก ระดับเซลล์นี้ เป็น ตำแหน่ง ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด ในการขาดอะไหล่เพื่อซ่อมบำรุง


คราวนี้ มาดูต่อ ว่ากลไกระดับเซลล์ นั้น สำคัญแค่ไหน

เราทุกคนรู้ว่า ร่างกายของเรา เป็นระบบที่ มีเซลล์ เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ทำงานร่วมกันอยู่ ในทุกๆส่วนของร่างกาย ประกอบด้วยเซลล์ที่มีความแตกต่างกันออกไปในรายละเอียด แต่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมือนกัน เมื่อเวลาผ่านไป ในทุกๆ วินาที จะมีเซลล์ ตาย และ เกิดใหม่ เกิดขึ้นตลอดเวลา การที่เซลล์เกิดใหม่ได้นั้น เกิดจาก "การแบ่งเซลล์" ของเซลล์ ที่เหมือนกัน

การแบ่งเซลล์นั้น ไม่ใช่อยู่ๆ จะแบ่งออกมาได้ เซลล์ ที่จะแบ่งเซลล์เอง ก็ต้องการ อะไหล่ ที่ใช้ในการแบ่งเซลล์ เช่นกัน ซึ่ง ถ้าอะไหล่ไม่พอ เซลล์ ที่ถูกแบ่งออกมา ก็จะไม่สมบูรณ์ และ เมื่อเซลล์ ที่ไม่สมบูรณ์นั้น ไปแบ่งตัวอีก ก็มีโอกาส จะยิ่งไม่สมบูรณ์ กลายเป็นเซลล์ ที่ผิดปกติ และ นั่นคือ "สาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดมะเร็ง" ครับ



กลับมาที่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ พบ แล้ว อึ้ง ในคลอเรลล่า ต่อ นะครับ

สิ่งที่พวกเขาพบ หลังจาก พบ โปรตีน ที่เป็นกาว ติดโลหะหนักแล้ว

พวกเขายังพบว่า ในของเหลวในเซลล์ของ คลอเรลล่า มีกรดอะมิโน ตัวสุดท้าย ที่ระดับเซลล์ของร่างกายเราต้องการ อยู่ "ครบทุกตัว" และ มีอัตราส่วน ที่ใกล้เคียงกับที่เซลล์ของร่างกายเรา ต้องการใช้งาน และยังมีโปรตีนมากถึง 60-70% ของน้ำหนักตัว!!!

นั่นหมายความว่า ของเหลวในเซลล์ ของ คลอเรลล่า สามารถเป็น "อาหาร ของ เซลล์" ของร่างกายเรา ได้โดยตรง ไม่ต้อง ผ่านการแยกย่อยของร่างกาย เหมือนกับอาหารปกติที่เราทานอยู่

และ ทั้งหมดนี้ เป็นเหตุให้ มีการพัฒนาคลอเรลล่า ขึ้นมา ให้เป็นอาหารเสริม ครับ
bit
#3
สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายคุณ เมื่อได้รับประทาน คลอเรลล่า

กำจัดพิษ ที่ค้างอยู่ในตัวคุณ !!!


- เนื่องจากคลอเรลล่า เป็นพืชเซลล์เดียว ที่มีผนังเซลล์ ที่ร่างกายเรา ย่อยไม่ได้ ผนังเซลล์ นี้ เมื่อลงไปสู่ลำไส้ จึงกลายเป็นเส้นใยขนาดสั้นๆ ที่เปรียบเหมือนแปรงขนาดจิ๋ว ที่จะลงไปขัดถู ลำไส้ได้อย่างทุกซอกทุกมุม และ ที่สำคัญ แปรขนาดจิ๋วนี้ ยังเคลือบไปด้วย "กาว" ชนิดพิเศษ ที่สามารถดักจับสารพิษ ในลำไส้ โดยเฉพาะ ซึ่ง เป็นคุณสมบัติพิเศษมากๆ ที่คลอเรลล่าเท่านั้น ที่มี!!!!


ขอบคุณรูปจาก http://www.tuberose.com/Chlorella.html


กำจัดพิษ ที่ค้างอยู่ ลึก ถึง ระดับเซลล์ ของคุณ !!!

- ช่วยให้เซลล์ สามารถผลิต "กลูต้าไทโอน" ได้มากขึ้น กลูต้าไทโอน เป็นเอนไซม์ ที่ทำหน้าที่ กำจัดของเสีย ออกจากเซลล์ เอนไซม์ตัวนี้ เซลล์ทุกเซลล์มีความสามารถในการผลิตได้ แต่เซลล์ตับ จะสามารถผลิตได้มากกว่าที่อื่น เนื่องจาก ตับเป็นอวัยวะ หลัก ที่ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย

แต่ การผลิต กลูต้าไทโอน เซลล์ จำเป็นต้องใช้ กรดอะมิโนบางตัว เป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่ง โดยทั่วไปกรดอะมิโนตัวนี้ ร่างกายเรามักมีไม่พอใช้งาน ในแต่ละวัน กลูต้าไทโอน จึงมักมีไม่ค่อยพอใช้งาน (จึงได้เป็นจุดเริ่มต้น ของการมีอาหารเสริม กลูต้าไทโอน เกิดขึ้น ซึ่ง การรับประทานกลูต้าไทโอน จากภายนอก กลูต้าไทโอน ที่ร่างกายรับมา ไม่ได้ผลิตเอง จะไปอยู่ที่ตับ และ จะถูกนำไปใช้งานเกือบทั้งหมดเฉพาะที่ตับ แต่ กลูต้าไทโอน มีผลข้างเคียง ทำให้เม็ดสีของผิว ของคนเอเชียผิวเหลือง จางลง เลยเห็นว่าผิวขาวขึ้น การขายกลูต้าไทโอนที่เรามักได้ยินกันในไทย ถูกนำเสนอแต่ผลข้างเคียงที่ทำให้ผิวขาว)

การทาน คลอเรลล่า จะส่งผลให้ ร่างกายได้รับสารอาหาร พอที่จะให้แต่ละเซลล์ เริ่มผลิต กลูต้าไทโอน ของตัวเอง มาใช้งาน ขับของเสีย ของตัวเองได้ นั่นหมายถึง ร่างกายเรา จะเกิดการ "กำจัดสารพิษ (ดีท๊อกซ์) ในระดับเซลล์" ซึ่ง ยังไม่เคยพบ สารอาหารตัวอื่น สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ได้


ขอบคุณรูปภาพจาก https://aquaionizerdeluxe.com/benefits/



คลอเรลล่า เคยถูกใช้ในการ กู้วิกฤติ สารพิษรั่วไหลมาแล้ว !!!

- ในยุคของการพัฒนาอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ได้มี ปรากฏการณ์ การรั่วไหล ของสารแคดเมียม ลงไปปนเปื้อนในแหล่งอาหาร จะทำให้มีผู้เสียชีวิต จากการได้รับแคดเมี่ยมเป็นจำนวนมาก (ปรากฏการณ์ โรค อิไต อิไต) ในขณะนั้น ได้มีการทดลองให้ผู้ป่วย รับประทานคลอเรลล่า ซึ่ง พบว่ามีส่วนช่วยในการกำจัดสารพิษประเภทโลหะหนัก และ ผลการทดสอบ ก็ออกมาชัด ว่าพบปริมาณแคดเมี่ยม ออกมาทางปัสสาวะ และ อุจจาระ ของผู้ป่วยที่ได้รับคลอเรลล่า ประกอบกับผู้ป่วย มีการการดีขึ้นชัดเจน ประเทศญี่ปุ่น จึงสามารถแก้วิกฤติ โรคอิไตอิไต โดยการใช้คลอเรลล่า ในการรักษาได้ ในตอนนั้น และเริ่มวิจัยคลอเรลล่าอย่างจริงจังตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนในปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่บริโภคคลอเรลล่า มากที่สุดในโลก

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/166227



กำจัดพิษแล้ว ยัง แถม ต่อ ด้วยการ ฟื้นฟู ระดับเซลล์

- เนื่องจากคลอเรลล่า มีสารอาหาร ที่เป็นอะไหล่ ที่เซลล์ใช้ในการซ่อมบำรุงตัวเอง อย่างครบถ้วน จึงทำให้เซลล์ ที่เสื่อมอยู่ก่อนแล้ว หรือ ได้รับบาดเจ็บ สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ ตามเวลา ที่กลไกของร่างกายสามารถทำได้ (ไม่ต้องรออะไหล่) ซึ่งหากรับประทานอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ เซลล์ที่เสื่อมอยู่ก่อนแล้ว มีโอกาส จะกลับมาเป็นปกติได้ (แต่ต้องเข้าใจว่า เซลล์ที่เสื่อมอยู่ก่อนแล้ว กลไกในการฟื้นตัว ก็เสื่อมอยู่ด้วย ถึงแม้อะไหล่จะครบ ก็ต้องใช้เวลาครับ)

ได้รับการยอมรับ จากคุณหมอ ผู้เชี่ยวชาญด้านการชะลอความเสื่อม ว่าเป็น "อัญมณีแห่งตะวันออกไกล"

- "เมื่อรับประทานเป็นประจำ คลอเรลล่า จะช่วยซ่อม สารพันธุกรรมที่อยู่ใน เซลล์ของร่างกาย รักษาสุขภาพเรา และ ชะลอกระบวนการแก่ ... เมื่อ RNA และ DNA (RNA และ DNA คือ สารพันธุกรรม ที่ทุกๆเซลล์มีอยู่ และ จะทำหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ สำหรับการแบ่งเซลล์ใหม่ -- ผู้แปล) ของเรา ถูกดูแลซ่อมแซมอย่างดี และ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายของเราก็จะสามารถกำจัดสารพิษ และ ป้องกันโรคได้ เซลล์ของเราจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ และ พลังงาน และ พลังชีวิต ของทั้งร่างกาย ก็จะเพิ่มขึ้น

เคยมีหลักฐาน ว่าคลอเรลล่า สามารถทำให้มีอายุเฉลี่ยยาวนานขึ้นได้ ในหนู จากการทดลองที่ วิทยาลัยแพทย์ ใน คานาซาว่า ประเทศญี่ปุ่น พบว่า หนูที่เป็นเบาหวานตั้งแต่กำเนิด ที่ได้รับ คลอเรลล่า เป็นอาหารเสริม มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 22.6 เดือน เทียบกับหนูที่เป็นเบาหวานแต่กำเนิดอีกลุ่ม ที่มีอายุเฉลี่ยที่ 15 เดือน ที่ได้รับอาหารธรรมดา"

จากหนังสือ
Chlorella, Jewel of the Far East (คลอเรลล่า อัญมณีแห่งตะวันออกไกล) โดย Dr. Bernard Jensen, Ph.D., D.O.

*เพิ่มเติม เกี่ยวกับผู้เขียน คุณหมอ Bernard Jensen เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน โภชนาการ โดยเฉพาะ เกี่ยวกับด้าน ชะลอความเสื่อมของร่างกาย เคยเขียนหนังสือ The No-Aging Diet ก่อน จะมาพบ คลอเรลล่า ที่ไต้หวัน และ ญี่ปุ่น ในช่วง ที่กำลังพัฒนาคลอเรลล่า สู่อุตสาหกรรมอาหารเสริม

กำจัดพิษแล้ว ฟื้นฟูระดับเซลล์แล้ว แถมท้ายด้วย เสริมภูมิคุ้มกัน

- เนื่องจากคลอเรลล่า มีสารอาหาร ที่เป็นอะไหล่ ที่ทำให้ ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดขาวได้มากขึ้นตามความต้องการใช้จริง รวมถึงเม็ดเลือดขาวที่สร้างขึ้นก็มีความสมบูรณ์มากขึ้น จึงทำให้ ร่างกายของผู้ที่ทานคลอเรลล่า มีระบบภูมิคุ้มกัน ที่แข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้ สามารถต้านทานต่อการติดเชื้อ โดยเฉพาะไวรัส ได้มากขึ้นกว่าในยามที่ไม่ได้ทาน

ยืนยันซ้ำ ด้วยงานวิจัยสมัยใหม่

- มีงานวิจัย ที่ให้กลุ่มตัวอย่าง ทานอาหารเสริม คลอเรลล่า จำนวน 5 กรัม (10 เม็ด) ต่อวัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และตรวจสอบการทำงาน ของภูมิคุ้มกัน พบว่า หลังจากผ่านไป 8 สัปดาห์แล้ว พบว่า ระบบภูมิคุ้มกัน ของกลุ่มผู้ได้รับ อาหารเสริมคลอเรลล่า ทำงานดีขึ้น ประมาณ 2 เท่า ของค่าเดิม


อ่านงานวิจัยฉบับเต็ม ได้ที่ลิงค์ http://www.nutritionj.com/content/11/1/53


ด้านบนนี้ คือ สิ่งที่คลอเรลล่า จะให้แก่ร่างกายเรา เมื่อนำมารับประทาน เป็นอาหารเสริม


bit
#4
คราวนี้ จะดูอย่างไร ว่า อาหารเสริมคลอเรลล่า จากที่ไหน ดีที่สุด

คลอเรลล่า ในปัจจุบัน แบ่งตามการเลี้ยง มี 2 แบบ คือ เลี้ยงในที่แจ้ง (Sunlight Chlorella) กับ เลี้ยงในที่ร่ม (Indoor Chlorella)

เนื่องจาก คลอเรลล่า เป็น พืช ที่ต้อง สังเคราะห์แสง เพื่อให้ได้สารอาหาร ดังนั้น คุณค่าทางอาหาร ของ กลุ่ม Indoor Chlorella จะน้อยกว่ามาก ส่วนเหตุที่มีการเลี้ยงในที่ร่มนั้น เนื่องเพราะ สถานที่เลี้ยง ไม่สะอาด มีการปนเปื้นมาก ไม่สามารถปล่อยเลี้ยงกลางแจ้งได้ เพราะหาก ปล่อยเลี้ยงคลอเรลล่า ในสถานที่ปนเปื้อน ตัวคลอเรลล่า จะเปลี่ยนมาเป็นเพิ่มสารพิษให้เราแทน มาช่วยเราขับพิษครับ

และ สถานที่เลี้ยงคลอเรลล่า แบบกลางแจ้งได้ (Sunlight) ในปัจจุบัน มีได้ไม่กีที่ เพราะคลอเรลล่า ที่เหมาะสมที่จะนำมาทำเป็นอาหารเสริม อยู่ได้ในช่วงอุณหภูมิ ที่จำกัด และ ที่ที่เลี้ยง จึงต้อง มีอุณหภูมิคงที่ตลอดปี จึงจะเลี้ยงได้ ซึ่ง ปัจจุบัน มีที่

- ญี่ปุ่น (ที่เกาะโอกินาว่า)
- ไต้หวัน (ที่เกาะไต้หวัน)
- จีน (ที่เกาะไหหลำ)

ซึ่ง จากการสำรวจ และ ตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ บทความจาก (www.chlorellafactor.com) โดยสุ่มตัวอย่าง อาหารเสริมคลอเรลล่า ที่ขายในท้องตลาด จำนวน 17 ตัวอย่าง โดยที่สามารถแยก กลุ่มตัวอย่างจากแหล่งเลี้ยงได้ 10 แหล่ง (บางตัวอย่าง มาจากแหล่งเลี้ยงเดียวกัน แต่คนละแบรนด์) ประกอบด้วย

- คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในจีน จำนวน 3 ตัวอย่าง
- คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในไต้หวัน จำนวน 3 ตัวอย่าง
- คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในญี่ปุ่น จำนวน 3 ตัวอย่าง
- คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในเกาหลี จำนวน 1 ตัวอย่าง (เลี้ยงแบบ ในร่ม Indoor ไม่ได้เลี้ยงแบบ กลางแจ้ง Sunlight)

และ นำไปตรวจสอบหาการปนเปื้นโลหะหนัก ในแลบ พบว่า มีปริมาณอะลูมิเนียม ซึ่ง เป็นโลหะหนัก ปนเปื้น แยกตามแหล่งเลี้ยง ได้ ดังนี้


*คลอเรลล่า จากเกาหลี ถูกเลี้ยงแบบอยู่ในร่ม indoor ต่างกับ แหล่งเลี้ยงที่เหลือ ที่เลี้ยงกลางแจ้ง Sunlight


จึงพบว่า คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในไต้หวัน มีการปนเปื้อนโลหะหนักอะลูมิเนียม น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับแหล่งเลี้ยงกลางแจ้งที่อื่นๆ (ซึ่งเมื่อเทียบกับ ผัก ที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันแล้ว พบว่า มีการปนเปื้อน น้อยกว่า มากที่เดียว)

ดังนั้น คลอเรลล่าที่สะอาดที่สุด ควรมาจากแหล่งเลี้ยง ที่ไต้หวัน ซึ่ง ก็มีผู้ผลิตหลายราย หลายแหล่งเลี้ยง

ซึ่ง หลังจากหาข้อมูลอย่างละเอียด เราก็พบผู้ผลิต ชื่อ FEBICO

FEBICO เป็นผู้ผลิตคลอเรลล่า รายแรกของโลก ที่ผ่านการตรวจสอบ ผลิตภันฑ์ออร์กานิกส์ จากทั้ง Natureland (เยอรมัน) และ USDA (สหรัฐอเมริกา)

คราวนี้มาดูต่อครับ คุณภาพของคลอเรลล่า นอกจาก การปนเปื้อนน้อยแล้ว ยังมีเรื่อง ปริมาณ ของสารอาหาร ในของเหลวภายในเซลล์ ของคลอเรลล่า ซึ่ง สารอาหารที่คลอเรลลา จะสะสมได้นั้น นอกจาก ต้องได้รับแสงอาทิตย์แล้ว ยังขึ้นอยู่กับ สารอาหารในรูปของแร่ธาตุ ของน้ำที่นำมาใช้เลี้ยง

ทำไม การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นต้องเลือก "คลอเรลล่า ที่ปลอดภัย" เท่านั้น

คลอเรลล่า เป็นพืชน้ำเซลล์เดียว ที่มีความสามารถในการดักจับโลหะหนักสูง ดังนั้น คลอเรลล่า ที่เลี้ยงในแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนของโลหะหนัก ก็จะดักจับโลหะหนัก ในแหล่งน้ำนั้นๆ มาเก็บไว้ที่ตัวเอง

ดังนั้น เมื่อทานคลอเรลล่า ที่มีการปนเปื้อน โลหะหนัก ก็เท่ากับร่างกายได้รับพิษโลหะหนักเพิ่มจากคลอเรลล่า แทนที่คลอเรลล่าจะมาขับล้างพิษโลหะหนักในร่างกายออกไป

โดยหลักการนี้ การทานคลอเรลล่า ที่ไม่สามารถการันตี "ความปลอดภัย" ได้ จะยิ่งทำให้ร่างกายสะสมพิษมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะในสถานการณ์วิกฤติหรือไม่ ก็ตาม

การทานคลอเรลล่า จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเลือก คลอเรลล่า เป็นออร์แกนิกส์ 100% เพื่อการันตี ว่า จะไม่มีสิ่งพิษปนเปื้อนเข้ามาสู่ร่างกายเรา แทนที่จะมาช่วยร่างกายขับพิษ

โดยที่ คลอเรลล่า ที่ได้รับการการันตีว่า เป็น ออร์แกนิกส์ 100% นั้น ถือว่าเป็นอาหารจากธรรมชาติ ที่สะอาด ปลอดภัย สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย และ สามารถทานต่อเนื่องได้ ตลอดชีวิต
ดูกระทู้ทั้งหมดในชุมชน จาก  Downtown ดูกระทู้ในหมวด ดูกระทู้ในหมวดย่อย
กระทู้แนะนำจากการคัดเลือกอัตโนมัติ
1
2
3