>>> [m0ka tour] โมก้าพาเที่ยวหนีร้อนไปเพิ่งเย็น Alaska, USA| 09.05.18 - 09.05.23 (prologue) <<<
โดย cocoa
cocoa
#1
คำนำ

หลังจากดองไว้นาน ก็ได้โอกาสมารีวิวในช่วงที่กรุงเทพฯ ร้อนโค่ดๆ นะคะ หวังว่าทริปนี้จะช่วยให้คลายร้อยลงมาได้บ้าง ทั้งนี้ เนื่องจากว่าเป็นทริปที่ยาวจัด โก้เลยรวมๆ รูปมาอยู่ด้วยกัน ถ้าขนาดมันจะขัดใจท่านผู้ชมบ้าง ก็ขออภัยนะคะ เพราะซัดไปหลายพันกว่ารูป (แต่พอดูได้ก็แค่นี้แหละ ฮ่าๆ) ลงหมดคงตายกันไปข้างนึง

อนึ่ง หน้าโมก้าออกจะแก่ๆ ไปหน่อยนะคะ เพราะรีบแต่งหน้าก่อนไปเที่ยว กลับมาถึงได้มีเวลาค่อยๆ ทำจนเป็นหน้าที่เห็นใน Tea Party ค่ะ

Moka: คือมี๊บ่นว่าโมก้าแต่งหน้าแก่แดดอ่ะ รัยไม่รู้เนอะ ไม่ใจเด็กสมัยนี้เลย

ยังงัยก็ขอขอบคุณที่แวะมาเที่ยวไปด้วยกันนะคะ
ถึงมันจะเป็นทริปเก่าแต่ก็หวังว่าจะได้รับความบันเทิงไปไม่มากก็น้อยค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามการท่องเที่ยวของโมก้าค่า ♥



ปีนี้มีทริปใหญ่ของที่บ้าน ไม่ใช่อะไรหรอก มันเป็นทริปที่ยาวที่สุด แล้วก็บินไกลที่สุด เพราะคราวนี้ จุดหมายอยู่ที่แคนาดา และอเมริกา นัยว่าเป็นการฉลองที่ไข้หวัดหมู H1N1 ที่ติดกันแสนง่ายดาย จนเป็นข่าวใหญ่ทั่วเอเชีย ทั้งๆ ที่ปัจจุบันสามารถรักษาได้ ไม่เหมือน HIV ซักหน่อย -"- แต่เพื่อความ trendy ครอบครัวเราก็เลยจะไปพิสูจน์ดูว่า มันจะติดง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ มันจะน่ากลัวขนาดผ้าปิดปากขายหมดเกาะสิงคโปร์ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศเลยหรือ


จริงๆ จุดประสงค์หลักคือไปงานแต่งงานลูกชายเพื่อนสนิทของครอบครัว ที่มีศักดิ์เป็น Canadian mom and dad ของโก้ โดยคุณแม่โก้ ก็มีศักดิ์เป็น Thai mom รวมถึงที่ตัวโก้เองก็เคยไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านเค้าที่แคนาดาระยะนึง เรียนร่วมกันมากับลูกชายคนโตด้วยแล้วก็ติดต่อกันมาตั้งแต่ป.หกนั่นเลย เมื่อลูกชายคนโตเค้าจะแต่งงาน ก็เลยเกิดทริปนี้ขึ้นมา ด้วยว่ามันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างทรหดของครอบครัว เลยรวบทุกอย่างที่อยากทำ ณ โลกซีกนั้นไว้ด้วยกันในทริปเดียว ทำให้ทริปมันยาวววว มากกกกกกก ก็ไหนๆ ต้องบิน 18 ชั่วโมงแล้ว เอาให้คุ้มว่างั้น

ส่วนหนึ่งในทริปคือ alaska cruise ก็อยากเป็นภูเขาน้ำแข็งมานานแล้ว อยากรู้ว่าไอ้ที่เค้าบอกกันว่า ลอย 1 ส่วน จม 9 ส่วน และมีสีสวยกว่าอัญมณีใดๆ มันเป็นยังงัย ก็เลยกระตือรือร้นกับทริปนี้มาก อีกอย่าง เป็นการไปกลับไปเยี่ยมเยือนซีกโลกนั้นหลังจากเวลาผ่านไปกว่าห้าปี คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย ... แต่ ที่ไม่ได้รู้เลยคือว่า ไอ้เจ้า iceberg ที่อยากเห็นนั้น มันไม่ได้อยู่ด้าน Alaska ไปคราวนี้ เลยเห็นแต่แผ่นน้ำแข็งเล็กๆ ลอยน้ำ กับ glacier ซึ่งก็คือผลึกฟอสซิลน้ำแข็งที่ยังคงแข็งข้ามผ่านกาลเวลามาให้เราได้ศึกษากันนั่นเอง ทั้งนี้ ทั้ง iceberg และ glacier รวมถึงน้ำแข็ง หิมะต่างๆ กำลังอยู่ในภาวะวิกฤตด้วยโลกร้อนขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรีบไปดู 555 เห็นว่าหลังจากทริปนี้ dad มีดำริว่าจะไปล่องเรือขั้วโลกใต้ ซึ่งจะใช้เวลาสองอาทิตย์ในภายภาคหน้า ... เอ่อ จากทริปนี้ อยู่บนเรือเจ็ดวันก็เบื่อจะแย่แล้ว อยู่สองอาทิตย์ สงสัยต้องขนอุปกรณ์สร้างความบันเทิงประกอบการเดินทางมาเยอะกว่านี้แหง๋มๆ

เกริ่นได้ยาวมาก เอาเป็นว่า ทริปนี้เป็นการล่องเรือ ที่เค้าเรียกกันว่า alaska cruise โดยปกติจะมีให้เลือกสามแบบคือ

1. ลงเรือที่ vancouver ค่อยๆ ล่องขึ้นไปจนถึง alaska
2. ลงเรือที่ alaska ค่อยๆ ล่องลงมาจนถึง vancouver
3. ลงเรือที่ไหนก็ได้ แล้วนั่งเป็น round trip ซึ่งจะใช้เวลาสองอาทิตย์ (ขาไป 7 วัน กลับอีก 7 วัน)

ที่ตกลงกันคือ แบบที่สอง บินไป alaska แล้วล่องลงมาที่ vancouver เพื่อที่จะได้ขับรถเทียวบริเวณเทือกเขาร๊อกกี้ ก่อนจะกลับ ontario นั่นเอง ตกลงจองตั๋วจัดการเรียบร้อย ก็พร้อมออกเดินทางได้

วันออกเดินทาง ตื่นกันตั้งกะตีสี่ เพราะเครื่องออกเจ็ดโมงเช้า คุณ mom สะลึมสะลือขึ้นมาส่ง แต่ไม่ได้มาด้วยเพราะติดงาน แต่เห็นคุณ dad บอกว่าไว้จะมาอีกรอบทีหลัง จากบ้านใช้เวลาเดินทางถึงสนามบิน toronto ชั่วโมงนึง ง่วงมากๆ จริงๆ ยังปรับเวลาไม่ค่อยได้ เพราะมาถึงก่อนจะเดินทางแค่ไม่กี่วัน แต่หลักๆ ก็คือจัดกระเป๋าดึกแล้วเลยนอนไม่พอนี่แหละ ตามเคย 555



มานั่งรอที่สนามบินไม่นานก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง ตอน board ก็ยังลัลล้าร์ด้วยฤทธิ์กาแฟสตาร์บัคส์ ขึ้นไปนั่งซักพักก็เริ่มง่วง แล้วก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมเครื่องมันไม่ขึ้นซะที แต่คิดเอาเองว่าเป็นเพราะเบลอๆ อาจจะสัณนิษฐานเวลาผิด หลับไปก็ตกใจตื่นเพราะทางกัปตันก็แจ้งว่าเครื่องมีปัญหากับการโหลดอาหารขึ้นเครื่อง จะ delay ยังไม่ทราบว่านานแค่ไหน จะแจ้งอีกที ได้ยินอาเฮียประกาศเลยขยับนาฬิกาดู เฮ้ยมันเกือบจะชั่วโมงแล้วนี่ เอางัยล่ะ ต้องไปต่อเครื่องที่ vancouver อีก มีเวลาต่อเครื่องชั่วโมงครึ่ง ไม่รวมต้องเอากระเป๋าออก ผ่าน US immigration, US custom โหลดกระเป๋าใหม่ แล้ววิ่งไปขึ้นเครื่องอีกนะ คราวนี้ตาค้างไม่ต้องพึ่งกาแฟ นั่งมองหน้ากันสี่คนเอางัยดี คุณแม่รีบเดินไปแจ้งคุณแอร์ว่า เอ่อขอโทษนะคะ ต้องไปต่อเครื่อง เพื่อจะไปลงเรือ ซึ่งเค้าเขียนไว้ชัดเจนว่า มาไม่ทันก็ไม่รอแล้วก็ไม่คืนเงินนะเออ เพราะท่าน...มาไม่ทันเอง เตรียมตัวไม่ดีเสียตังค์ฟรี แบร่ๆ (คือเค้าไม่ได้บอกงั้นหรอก แต่อารมณ์นั้นประมาณนี้เลย) คุณแอร์ก็บอกว่าไม่สามารถบอกให้รอได้นะคะ ยังงัยตอนนี้ไม่ทราบว่าจะไปทันหรือไม่ทัน ต้องรอเครื่องขึ้นก่อนถึงจะบอกได้

ผ่านไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมง ท่านนักบินก็ประกาศว่าขึ้นได้แล้วจ้า โอ้ววว เธอ delay ไปกว่าชั่วโมงครึ่งแล้ว ชั้นจะไปทันได้ยังงัย แต่ก็นะ ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่ -"- พอเครื่องขึ้น ท่านแม่ก็ไปถามคุณแอร์อีกทีว่า ติดต่อสนามบินทางโน้นได้มั้ย คุณแอร์ก็บอกว่าแจ้งแล้วแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ปกติถ้า delay โดยสภาพอากาศ เครื่องจะรอ แต่กรณีนี้รอหรือเปล่าก็ไม่รู้ อ้าว ไหง๋พูดงี้อ่ะ คุยไปคุยมาปรากฎว่ามีผู้ร่วมชะตากรรมอีก 7 ท่าน รวมเป็นทั้งหมด 11 ชีวิต ที่ต้องรีบไปลงเรือลำนี้ คราวนี้อำนาจต่อรองมาเต็มๆ ไม่ช่วยเจอ 11 คดีฟ้องแน่คุณสายการบิน ทางกัปตันกุลีกุจอติดต่อไปทางสนามบิน vancouver แล้วประกาศก่อนจะถึงสนามบินว่า เนื่องด้วยมีผู้โดยสาร 11 ท่านต้องทำการ transit ต่อไปยัง alaska ด่วน ขอความร่วมมือให้ 11 ท่านนี้ลงก่อน โดยทางสายการบินติดต่อ ground ไว้แล้ว ทุกท่านจะได้รับ express pass เผื่อผ่านด่านต่างๆ โดยไว และคุณได้รับสิทธิให้เครื่องบินลำต่อไปรอท่านเด๋วนี้!!! แต่ขอความกรุณาท่านวิ่งด้วย ... ^^" ได้ยินเช่นนี้ก็เย็นใจลง มีแก่ใจมองซ้ายมองขวาบ้าง หลังจากมองนาฬิกามาตลอดเที่ยวบิน เฮ้ออออ



มาถึงสนามบิน vancouver เหลือบดูนาฬิกา ได้เวลาเครื่องขึ้นพอดี รอตรูด้วยนะเฟร้ยยย (อันนี้นึกในใจ) พอเครื่อง land ปุ๊บ ไฟดับปั๊บ คนลุกพรึ่บ อ้าว ซะงั้น รีบกวาดของมองซ้ายมองขวาไม่ลืมอะไร รวบรวมทีมฟุตบอลสโมสร alaska cruise เบียดๆ ลงจากเครื่อง พร้อมๆ ตัวสำรองที่มาจากไหนไม่รู้แอบแจมลงมาด้วยเต็มไปหมด ลงมาถึงมีเจ้าหน้าที่เดินมาแจกป้าย express พร้อมแจงทางว่าให้ไปทางไหน ไอ้เราตัวบางๆ (กล้าพูดเนอะ) เดินไวๆ พอได้ เห็นคุณลุงคุณป้าแบกน้ำหนักและอายุแล้วต้องมาวิ่งสงสารไม่น้อย จะวิ่งไหวมั้ยเนี่ย รีบเดินไปตามทางที่เค้าบอก ไปถึงทางแยก เวรละ ไม่ได้บอกว่าให้เลี้ยวนี่หว่า ยืนคิดนิดนึงทีมตัวจริงวิ่งตรงต่อไปเรียบร้อยแล้ว ถึงกับต้องเป่านกหวีตปรี๊ด เรียกกลับมาบอกว่าพี่ขา ล้ำหน้าค่ะ พี่ไปยิงผิดประตูแล้วนะคะ เด๋วจะเสียทั้งแต้มทั้งทรัพย์ ก็เพราะป้ายบอกว่า us connection มันช่างเล็กเหลือหลายจริงๆ เดินตามควายไปอีกพักใหญ่ๆ ประมาณหนึ่งนาปรังก็เจอด่าน us immigration อ้าว มันต้องกรอกเข้าประเทศด้วยนี่ ทำไมบนเครื่องเค้าไม่แจกนะ พวก American กับ Canadian ก็สบายแฮ ข้าเจ้าต้องกรอกมือหงิก immigration บอกว่าไม่ต้องรีบ ยังงัยก็ไม่รีบตรวจอยู่แล้ว อ้าว มึนๆ งงๆ แต่ก็ผ่าน immigration ไป ต่อมารับกระเป๋ามาตรวจที่ custom แล้ว check-in ใหม่อีกที เจออีกหนึ่งปัญหา (นี่มันทริปต้องคำสาปหรือนี่!) กระเป๋าคุณ dad ไม่มาซะงั้น -"- ก็ check-in พร้อมกันทำไมสามคนมา อีกคนไม่มาฟระ ยืนมึนๆ งงๆ พักใหญ่ เค้าบอกว่าไม่ต้องห่วง กระเป๋าเค้าไม่ได้แน่ เด๋วทำเรื่องกระเป๋าหายก่อน ให้ไปต่อได้เลย เอาน่า dad ขายาวเด๋วก็ตามมาทัน วิ่งแบกของกันอย่างกับกำลังจะถึงเส้นชัยใน amazing race ตอนนั้นคิดในใจว่าน่าจะยัดเจ้าโมก้าใส่กระเป๋าเดินทางจะได้ไม่ต้องแบก ไปถึงเครื่อง board ปุ๊บ ได้รับสายตามาคุจากคนทั้งเครื่องปั๊บ แหง๋ล่ะ เค้าก็ต้อง delay ตามอีกเกือบสี่สิบห้านาที ยังงัยขึ้นมานั่งได้ก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว คุณ dad เดินตามมาติดๆ รอท่านอื่นๆ อีกสามสี่ท่าน แล้วเครื่องก็ออกได้ พร้อมทั้งคุณกัปตันขอบคุณผู้โดยสารท่านอื่นๆ ที่มีแก่ใจรอด้วยความสงบ



ขึ้นเครื่องได้ด้วยใจเบิกบาน และอาการหอบเล็กๆ เพราะนอนไม่พอ ไม่ได้ทานข้าวเช้า ออกกำลังกายด้วยภาวะจำยอม ทำให้น็อกไปเลยตั้งแต่เครื่องออก จน dad เคาะหัวเรียกขึ้นมาดูวิว โอ้วววว เค้าว่าโลกมันกลม มันกลมอย่างนี้นี่เอง เหมือนเห็นชั้นเมฆปกคลุมดูเป็นออร่าของโลก มีน้ำสีน้ำเงิน มีฟ้าสีฟ้า มีหิมะสีขาว... ไม่แปลกใจอีกแล้วว่า ที่เค้าบอกว่าโลกที่มองจากอวกาศสวยที่สุดมันเพราะอะไร นี่เห็นแค่เสี้ยวเดียวยังประทับใจขนาดนี้ ถ้าเห็นเต็มๆ จะซาบซึ้งใจขนาดไหน



เครื่องบินแล่นผ่านเทือกเขา rocky (rocky mountains หรือ the rockies) ในแคนาดา ซึ่งเป็นเทือกเขาที่น่าจะโด่งดังที่สุดของทวีปอเมริกาก็ว่าได้ เพราะยาวจากแคนาดาไปจนถึง new mexico เลยทีเดียวเชียว จากเครื่องมองเห็นเทือกเขาขาวโพลน ดูแล้วหนาวจับใจ เครื่องบินเลียบฝั่ง british columbia ไปเรื่อยๆ จนเข้าเขต alaska ก็ตรงที่เด๋วจะนั่งเรือกลับลงมานี่แหละ ได้เห็นธารน้ำแข็ง glacier ที่ทับถมผ่านกาลเวลา และค่อยๆ ไหลลงสู่ทะเล มองเห็นแผ่นน้ำแข็ง ทะเลสาบสี aquamarine ที่สดจนเหมือนไม่ใช่สีจากธรรมชาติ เป็นวิวทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเลย แม้ว่าจะเคยไปธิเบต บินผ่านเทือกเขาต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่เหมือน คุณพ่อหันมาบอกว่า ธรรมชาติช่างมหัศจรรย์นัก มนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว ทำไมถึงคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่รู้ แอบงง ไม่รู้จะมาไม้ไหน เลยทำเฉยๆ ถ่ายรูปต่อไปดีกว่า แหะๆ เด๋วเข้าตัว กลัวววววว



หลังจากนั่งไปสักพัก เริ่มรู้สึกว่ารูปมันเริ่มเยอะ แล้วสัญญาณก็เริ่มเตือนว่า แบตก้อนแรกจะหมดแล้วจ้า ก็เลยหยุดถ่ายรูปชั่วคราว หันมานอนต่อ จริงๆ ก็คือง่วงน่ะแหละ 555 จนได้ยินประกาศลดระดับ หันมาดูอีกที แอบแปลกใจ มา alaska ไม่ใช่หรอ ทำไมมันเขียวจัง???



dad อธิบายว่า มันก็เหมือนประเทศอื่นๆ น่ะแหละ ถึงส่วนใหญ่จะเป็นหิมะ เป็นน้ำแข็ง แต่บางส่วนก็เปลี่ยนแปลงตามฤดูของมัน ไม่งั้นคนจะอยู่ได้งัย อืมม ก็จริงนะ แต่ image ในหัวมันต้องขาวๆ อย่างเดียวเลยนี่นา ไม่คุ้นเลยแฮะ ^^"

ในที่สุดเครื่องก็ลงอย่างปลอดภัย ด้วยความสบายใจของทุกคน เพราะแปลว่าไม่ตกเรือแน่นอน แวะมาดูสนามบินนานาชาติ anchorage กันหน่อย ระหว่างรอลงจากเครื่อง มองไปข้างๆ เอ๊ะ สัญลักษณ์คุ้นๆ นั่นมันสายการบินประจำชาติเกาหลีนี่ มาทำอะไรแถวนี้ มาถึงนี่เชียว มองไปรอบๆ มีเครื่องคุ้นๆ หลายลำอยู่ มีการเฉลยให้ฟังว่า อย่าคิดว่าอยู่ไกลแล้วจะไม่มีคนมานะ สนามบินแห่งนี้ เป็นสนามบิน cargo ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเลยทีเดียว มีเครื่องขึ้นเครื่องลงถี่เป็นแมลงวัน ส่วนมากคือแวะมาเติมน้ำมันนั่นเอง เลยถึงบางอ้อว่า อยู่ซะเกือบสุดขอบโลก ทำไมมีสายการบินมากหน้าหลายตาจริงๆ



ลงจากเครื่องเรียบร้อย เดินไปรอกระเป๋า พบเจ้าหน้าที่จากเรือมารออยู่แล้ว บอกว่าจะไปเลยก็ได้ หรือจะเดินเล่นสนามบินก่อนก็ได้ เพราะจะมีรถมารับทุกๆ 1 ชั่วโมง จนรอบสุดท้ายห้าโมงเย็น (ตอนนั้นน่าจะประมาณเที่ยงหรือบ่ายโมงเห็นจะได้ ที่ alaska จะช้ากว่า toronto 4 ชั่วโมง) นึกในใจ ตื่นมาตั้งแต่ตีสี่ นี่ยังไม่ได้ทานข้าวเลย T^T จะตายมั้ยเนี่ย ในใจคิดแต่ว่าเรือมีข้าวฟรี 24 ชั่วโมง ต้องเอาให้คุ้ม... คุณพ่อหันมาส่ายหัว ยื่นคุ้กกี้มาให้หนึ่งอัน มองงงๆ ว่าเอามาจากไหน เลยเพิ่งรู้ว่า เค้าซื้อทานกันบนเครื่อง ที่ไม่รู้เพราะมัวแต่หลับ อ้าวววว ตอนตื่นก็ไม่ซื้อง่ะ จะรู้มั้ยเนี่ยว่าทานกันแล้ว โธ่ ยืนหม่ำๆ นิดนึงรอกระเป๋าพอเป็นพิธี ได้ครบสามคน รอลุ้นอีกใบ ไม่มีจริงๆ ด้วย คุณพนักงานต้อนรับบอกไม่ต้องห่วง เด๋วไปส่งให้บนเรือ ก็แอบมึนๆ นะว่า อยู่บนเรือมันจะส่งยังงัยหรอ แล้วคุณพนักงานก็ต้อนคุณผู้โดยสารไปขึ้นรถโค้ชคันใหญ่ พบว่านั่งกันเกือบเต็ม ในใจสงสัยว่า เรือนี้มันกี่คนหรอ รูปก็ไม่ได้ดู รายละเอียดก็ไม่ได้อ่าน ได้ใจว่ามากับคุณพ่อคุณแม่ เลยทำตัวเป็นง่อยได้สบายๆ ซะงั้น ^^"

พอคนขึ้นมาครบ ก็ได้ฤกษ์นั่งรถต่อไปขึ้นเรือกันซักที... แหม เดินทางมาตั้งนานยังไม่ลงเรือเลย แถมมีให้ลุ้นตลอด ทริปนี้จะมีสีสันเกินความจำเป็นหรือเปล่าเนี่ย!!!



ไว้มาลงต่อนะคะ อ่านหมดคราวเดียวเด๋วจะตาลายกันไปซะก่อน ^^
srichardson
#2
เจ้..อ่านเพลินจนประมาณว่าได้ไปด้วยเลยนะเนี้ย รูปสวยมากๆ สวยจนเว่อร์เลยอ่ะ จะรอดูต่อไปนะจ้ะ เอาไปเลย 5 ดาวs จ้ะนู๋ ป.ล น้องโมก้าแต่งตัว "อิน" สุดฤทธิ์ :D
wawe
#3
เพลินดีจัง ขอบคุณครอบครัวของหนูโมก้าด้วยนะคะ ได้บรรยากาศคลายร้อนตอนนี้เลยค่ะ
AnnAnnAntz
#4
ติดใจ มัคคุเทศ "โมก้า" พาทัวร์ อลาสก้า

มัคคุเทศเปรี้ยว บอดี้การ์ด (โปจิ)ก็หล่อ
วิว ก็สวย แถมคุณผู้ร้าย ทำหน้าดูได้อีก (น่ารักจิงๆ)
Meesook
#5
เข้ามากรี๊ดภาพโลกจากมุมบน สวยจังเลยค่ะ สีแจ่มมากๆ คุณโก้ถ่ายรูปเก่งมาก... แอบอิจฉาหนู Moka ได้เที่ยวเรื่อยเลย...

รอชมตอนต่อไปนะค้า...
aeh
#6
รอชมตอนต่อไปค่ะ
mimi
#7
พี่โก้รูปสวยมากกกก...มากกกกก...เห็นแล้วอยากไปมั่งจัง...

รอดูรูปตอนต่อไปนะคะ ^^
bett_mas
#8
รอดูๆๆ ค่ะ อยากไปม่างงงงงงงง
my_mim
#9
สนุกมากเลยค่ะ(ปกติขี้เกียจอ่าน)อ่านจนจบเลยค่ะแล้วกระเป๋าคุณพ่อได้ตอนไหนค่ะถ้าเป็นเราคงเซ็งแย่เลยไม่ได้กระเป๋าอ่ะค่ะรออ่านตอนต่อไปอยู่นะค่ะ
poovsn
#10
โหๆๆๆๆๆรูปสวย มากๆๆๆๆค่ะ
nickbee
#11
สวยๆๆโคตรๆๆคะพี่โก้ สักวันต้องไปบ้างนะเนี่ย

ขอบคุณนะคะ รอชมความงามของธรรมชาติทีโลกสร้างสรรค์ต่อไป
asoonnoy
#12
ตามมาอ่านนะคะ

สวยมาก ๆ เลยค่ะ

ตอนไปหายายที่ซานฟราน ถ้ามีเวลา กะจะไปหายายอีกยายนึง ที่อลาสก้านี่หล่ะค่ะ

เสียดาย ไม่มีเวลาไป อดดูวิวสวย ๆ แบบนี้เลย
kovanich
#13
waiting for alaska cruise pics :)
TwinkleStar
#14
[SIZE="5"]คุณโก้..ยังกับละครแหนะ มาจบเอาตอนกำลังสนุก เลยเชียว

โปรดติดตามตอนต่อไป อิอิ
SweetCandyBee
#15
ตามมาชมภาพงามๆอีกเช่นเคยค่ะ รูปสวยมากๆ ตามไปเที่ยวด้วยคนจ้าคุณโก้ ชอบโปจิอ่า น่าร๊าก:D
poovsn
#16
ตอนต่อไปมายังค่ะ รอรอรอรอรอ :p
cocoa
#17
Originally Posted by srichardson
เจ้..อ่านเพลินจนประมาณว่าได้ไปด้วยเลยนะเนี้ย รูปสวยมากๆ สวยจนเว่อร์เลยอ่ะ จะรอดูต่อไปนะจ้ะ เอาไปเลย 5 ดาวs จ้ะนู๋ ป.ล น้องโมก้าแต่งตัว "อิน" สุดฤทธิ์ :D

555 ก็ประมาณนี้แหละค่ะพี่ แม่มันเห่อ แต่งหน้าใหม่เสร็จวันก่อนไปนี่แหละ แถมสั่งซื้อชุดโน่นนี่เป็นบ้า สุดท้ายพกไปก็แทบไม่ได้เปลี่ยน ขี้เกียจ แถมมัวแต่แต่งหน้าแต่งตัวตุ๊กตาจนเกือบตกเครื่องแหน่ะ ฮาฮาฮา (แล้วแม่มันก็เป็นยัยเพิ้งหอบของตามปกติ เมื่อไหร่เจ๊จะโมหนูบ้างล่ะคะ)

Originally Posted by wawe
เพลินดีจัง ขอบคุณครอบครัวของหนูโมก้าด้วยนะคะ ได้บรรยากาศคลายร้อนตอนนี้เลยค่ะ

ขอบคุณค่า ยินดีที่ช่วยดับร้อนค่า

Originally Posted by AnnAnnAntz
ติดใจ มัคคุเทศ "โมก้า" พาทัวร์ อลาสก้า

มัคคุเทศเปรี้ยว บอดี้การ์ด (โปจิ)ก็หล่อ
วิว ก็สวย แถมคุณผู้ร้าย ทำหน้าดูได้อีก (น่ารักจิงๆ)

ขอบคุณนะคะ ตอนนี้โมก้ากลับเป็นเด็กใสๆ แล้วค่ะ แม่มันทนหน้าตาแก่แดดไม่ได้ 55
แอบขำเพื่อนคุณแม่เหมือนกัน ทำไปด้ายยยยยย

Originally Posted by Meesook
เข้ามากรี๊ดภาพโลกจากมุมบน สวยจังเลยค่ะ สีแจ่มมากๆ คุณโก้ถ่ายรูปเก่งมาก... แอบอิจฉาหนู Moka ได้เที่ยวเรื่อยเลย...

รอชมตอนต่อไปนะค้า...

ส่วนนึงคือฟ้ามันใส อากาศมันสะอาดมากๆ อ่ะคุณ Meesook คือไม่ต้องแต่ง ไม่ต้องทำอะไร ยกกล้องขึ้นมาถ่ายมันก็สวยแล้ว สุดยอดมากๆ ครั้งสุดท้ายที่เห็นฟ้าเมืองไทยใสขนาดนี้ก็ที่เชียงใหม่เป็นสิบปีแล้วมั้ง กรุงเทพไม่ต้องพูดถึง ^^" แอบอิจฉาเจ้าโมก้าเหมือนกัน ได้ไปฟรีเรื่อยเลย -"-

Originally Posted by aeh
รอชมตอนต่อไปค่ะ

มาต่อแล้วค่า แหะๆ ขอโทษที่ช้านะคะ

Originally Posted by mimi
พี่โก้รูปสวยมากกกก...มากกกกก...เห็นแล้วอยากไปมั่งจัง...

รอดูรูปตอนต่อไปนะคะ ^^

ไปเลยๆ ค่าเรือรู้สึกจะเจ็ดหมื่นมั้ง รวมทุกอย่าง แต่ต้องบินไปขึ้นที่โน่นนะ เจ็ดวันอาหารครบ ดูโชว์ได้ฟรี แต่ไม่รวมทิป ทิปอีกหัวละสิบหรือยี่สิบเหรียญต่อวันนี่แหละ จำไม่ได้แล้ว รูดการ์ดมึนๆ ไป กระแดะเด็กดีงัย จะไปจ่ายค่าที่ใช้บนเรือพวกเนท ซื้อของอะไรงี้ให้คุณพ่อคุณแม่ พอรู้ราคา ของพ่อให้พ่อจ่ายเองละกัน ไม่สู้ 555

Originally Posted by bett_mas
รอดูๆๆ ค่ะ อยากไปม่างงงงงงงง

ไปเลยค่ะ ครั้งหนึ่งในชีวิตน้า

Originally Posted by my_mim
สนุกมากเลยค่ะ(ปกติขี้เกียจอ่าน)อ่านจนจบเลยค่ะแล้วกระเป๋าคุณพ่อได้ตอนไหนค่ะถ้าเป็นเราคงเซ็งแย่เลยไม่ได้กระเป๋าอ่ะค่ะรออ่านตอนต่อไปอยู่นะค่ะ

โห เป็นเกียรติมากเลยที่ทำให้คนที่ปกติขี้เกียจอ่านอ่านได้ ฮ่าๆ กระเป๋าได้ตอนไหนเด๋วต้องมาลุ้นกันค่ะ เขียนถึงป่าวไม่รู้ 55

Originally Posted by poovsn
โหๆๆๆๆๆรูปสวย มากๆๆๆๆค่ะ

ขอบคุณมากๆ ค่ะ ของมันสวยอยู่แล้วอ่ะ ถ่ายยังงัยก็สวย จริงๆ น้า

Originally Posted by nickbee
สวยๆๆโคตรๆๆคะพี่โก้ สักวันต้องไปบ้างนะเนี่ย

ขอบคุณนะคะ รอชมความงามของธรรมชาติทีโลกสร้างสรรค์ต่อไป

ใช่ๆ โลกสร้างสรรได้สวยงามจริงๆ มีโอกาสไปดูก่อนมันจะละลายหมดนะจ๊ะน้องนิค

Originally Posted by asoonnoy
ตามมาอ่านนะคะ

สวยมาก ๆ เลยค่ะ

ตอนไปหายายที่ซานฟราน ถ้ามีเวลา กะจะไปหายายอีกยายนึง ที่อลาสก้านี่หล่ะค่ะ

เสียดาย ไม่มีเวลาไป อดดูวิวสวย ๆ แบบนี้เลย

ที่ซานฟรานก็สวยนะคะ แต่คนละแบบ ซานฟรานจะสวยแบบเมืองๆ ไว้วันหลังไปเยี่ยมคุณยายอีกท่านแล้วถ่ายรูปมาอวดด้วยนะคะ พูดถึงซานฟรานนี่ก็อยากกลับไปอีกรอบนะ รอมีโอกาสก่อน บินไปเมกามันแสนจะบีบคั้นหัวใจ 555

Originally Posted by kovanich
waiting for alaska cruise pics :)

will be ready in a minute mam' :P

Originally Posted by TwinkleStar
คุณโก้..ยังกับละครแหนะ มาจบเอาตอนกำลังสนุก เลยเชียว

โปรดติดตามตอนต่อไป อิอิ

ก็เวลาเขียนอะไรเครียดๆ แล้วมันจะเครียดอ่ะ ก็ต้องมุ่งหน้าเอาดีทางตลกต่อไปน่ะค่ะ ฮ่าๆ

Originally Posted by SweetCandyBee
ตามมาชมภาพงามๆอีกเช่นเคยค่ะ รูปสวยมากๆ ตามไปเที่ยวด้วยคนจ้าคุณโก้ ชอบโปจิอ่า น่าร๊าก:D

เด๋วจะไปบอกเจ้าของชื่อโปจิให้นะคะ โปจิขาไม่เท่ากัน เลยได้ทีเอียงคอแอ๊บแบ๊วตลอดเลย น่าหมั่นไส้มาก 555

Originally Posted by poovsn
ตอนต่อไปมายังค่ะ รอรอรอรอรอ :p

มาแล้วจ้า เชิญรับชมได้ค่า
cocoa
#18
อ่ะ มาต่อกัน ความเดิมคราวที่แล้ว บินจาก toronto-vancouver-anchorage ถึงแล้วขึ้นรถของทาง princess cruise ที่มารับไปลงเรือ (จริงๆ เล่าแบบนี้ก็สั้นดีนะ ใจความเท่ากันเลย 555)

ด้วยความรู้สึกตามปกติ พอลงเครื่องนั่งรถต่อนิดนึงก็น่าจะถึงที่หมายแล้ว (อย่างว่า trip instruction มีแต่ไม่อ่าน -"-) ก็เข้าใจไปเองว่า เด๋วก็จะได้ทานข้าวแล้ว เพราะตอนนั้นหิวสุดๆ แถมจะเก็บท้องไว้ทานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้อีกตะหาก คือเผื่อท้องไว้ตะกละนั่นเอง นิสัยเสียจริงๆ เมื่อเป็นรถของทาง cruise ก็ย่อมจะมีผู้บริการเป็นไกด์ท้องถิ่นนั่งประจำรถ ตอนแรกนึกว่าเป็นแค่คนนับหัว (ปกติถ้าไปทัวร์จะมีคนคอยเอานิ้วมาจิ้มหัวทำปากขมุบขมิบว่า เออมันมากันครบแล้วอยู่เสมอ) ปรากฎว่าไม่ใช่ เป็นคนท้องถิ่น มาคอยอธิบายซ้ายขวาหน้าหลังรอบรถว่าเราผ่านอะไรกันมาบ้าง เพราะเรื่องของเรื่องคือ ต้องนั่งรถไปกว่าชั่วโมงกว่าจะไปถึงท่าลงเรือ ซึ่งอันนี้แล้วแต่ดวงว่า จะชั่วโมงเดียว หรือชั่วโมงครึ่ง เพราะทางที่จะไปยังท่าเรือต้องผ่านอุโมง ซึ่งเป็นอุโมงเดียวที่จะเชื่อมทั้งสองเมืองเข้าด้วยกัน เป็นอุโมงเดินรถทางเดียว แปลว่าถ้าข้างโน้นมา ข้างนี้ต้องรอ ... แค่นั้นไม่พอ ยังเป็นอุโมงที่ใช้ร่วมกับรถรางอีกด้วย แปลว่าถ้ามีรถรางมา ทุกคนก็ต้องหยุดรอรถรางผ่าน หรือถ้าไม่หยุดก็ตัวใครตัวมันนี่แหละ เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับดวงว่าจะไปทันหรือไม่ทันรถรางนั่นเอง

ระหว่างทางไกด์ก็เล่าไปเรื่อยๆ ประวัติรัฐ เค้าว่ากันว่าทางรถไฟสายแรกในอลาสก้ามูลค่าการก่อสร้างสูงมาก สูงเท่ากับมูลค่าของรัฐตอนที่ซื้อมาใหม่ๆ แปลว่าแพงนั่นแหละ แต่ด้วยความด้อยความรู้ จึงไม่แน่ใจว่าตะก่อนอเมริกามันโตโดยการซื้อที่ดิน (หรือซื้อรัฐนั่นแหละ) หรือเปล่า เพราะแถวบ้านเราขอบเขตที่ดินได้มาโดยการไปตีเค้าเอามาเป็นของเรา ไม่ได้ซื้อขายนี่ เลยไม่ค่อยมั่นใจ ทางรถไฟเป็นเส้นทางเลียบฝั่ง ถ้าได้นั่งคงสวยมาก แต่ไม่เป็นรัย เราเน้นเร็วไว้ก่อนจะดีกว่า หลังจากนั้นก็อธิบายโน่นนี่นั่นไปตามเรื่องตามราว ฟังทันมั่งไม่ทันมั่งหลับมั่งท้องร้องมั่ง อ่านเอาตามรูปละกันนะ ที่สนใจคือเจ้าสาหร่ายโคลนดูด คือเค้ามีชื่อแหละ แต่จำไม่ได้ หน้าตาจะเหมือนชายเลนบ้านเรา ซึ่งของบ้านเราเดินได้ ข้างล่างเป็นดินเละๆ แต่มีก้น เจ้าสาหร่ายนี่จะลอยๆ อยู่ เดินลงไปจะเหมือนเดินลงทรายดูด คือจมอย่างเดียว ไม่มีก้น (ทำไมถึงเรียกว่าก้นนะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เดินบนก้นซะหน่อย ^^") และไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ถ้าไม่มีคนมาเห็นทัน ก็จมลงไปทั้งเป็นนี่แหละ แถมขึ้นมาก็ลำบากเพราะเหมือนว่ายน้ำในโคลน และด้วยความเป็นโคลนมันจะก็ไม่เหมือนจมน้ำยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เห็นว่ามีคนตายเพราะเจ้านี่ทุกปี ความพิเศษอีกอย่างคือ เพราะมันเป็นสาหร่าย แต่ละวันจะไม่เหมือนกัน จะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสน้ำ หรือตามใจของมันก็ไม่รู้ ทำให้ดูได้ยากในบางกรณีว่า หาดมันสุดแค่ไหน แล้วตรงนั้นมันหาดหรือมันสาหร่ายกันแน่ ... พยายามมองจากรถแยกไม่ออกเลย พอเข้าใจทำไมมีคนจมทุกปี



นั่งรถพอหลับก็ตื่นมาด้วยอาการว่า เย้ถึงแล้ว มีเสียงวู้วว้าวเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมา เย้ยยยย เคยคิดในใจนะว่าเรือมันจะลำใหญ่ แต่พอเห็นก็เข้าใจว่า ที่คิดไว้เล็กมากเลย เรือที่จะนั่งชื่อ island princess เป็นของเครือ princess cruise เรือมีความสูงทั้งหมด 15 ชั้น ความจุผู้โดยสารสองพันกว่าคน และลูกเรืออีกประมาณร้อยคนมั้ง จำไม่ได้อ่ะ เห็นแล้วใจฝ่อนึกถึง titanic กับ poseidon (ที่ไม่ได้บริการนวด) ความคิดแรกคือ ... มันจะจมมั้ยเนี่ย ... คือสมัยนี้ก็เป็นสมัยที่เรือเดินสมุทรจมน้อยกว่าเครื่องบินอ่ะนะ แต่ก็ยังหวั่น ใจจริงๆ ^^"

ก่อนขึ้นเรือต้องทำการยืนยันตัวตน เช็คหนังสือเดินทางว่าท่านสามารถเหยียบย่างเข้าไปในแคนาดาได้ (เพราะตอนนี้เราอยู่ในอลาสก้า ของอเมริกาแล้วนั่นแหละ) เพราะต้องไปขึ้นเรือที่ vancouver (ลงไปในเรือ กับขึ้นฝั่งจากเรือใช่มั้ย งงๆ แหะๆ) ถ้าเข้าแคนาดาไม่ได้ ก็จะออกจากเรือไม่ได้นั่นแล เข้าไปในจุด check-in โห คิวยาวมาก เพราะตอนนั้นไม่คิดว่าเรือจะรับได้ถึงสองพันคน ทางเจ้าหน้าที่ก็จะให้บัตรห้อง ซึ่งเป็นบัตรลงเรือด้วย ถ้าขึ้นฝั่งแล้วลืมเอาลงไป ก็จะลงเรือไม่ได้เพราะใช้แทนบัตร id เลยทีเดียว ในบัตรจะคีย์ข้อมูลว่าเราอยู่ห้องไหน ชื่ออะไร บัตรเครดิตเลขที่เท่าไหร่ พาสปอร์ตระหัสอะไร ประมาณนั้น แถมเวลาขึ้นลงเรือ จะมีการแสกนบัตรและถ่ายรูปไว้ (คล้ายๆ เวลาเราผ่าน immigration ที่สุวรรณภูมินั่นแหละ) เวลาขึ้นเรือเจ้าหน้าที่จะได้เช็คได้ว่าเราไม่ได้แอบไปทำศัลยกรรมมา ตัวเองได้บัตรเรียบร้อย คุณ dad รายงานเรื่องกระเป๋าหายเป็นรอบที่ล้าน เจ้าหน้าที่บนฝั่งก็บอกว่าให้ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ด้านในเรือให้ตามเรื่องให้ ให้ไปแจ้งอีกรอบที่ล้านหนึ่ง ส่วนคุณแม่มีปัญหาคือในใบ confirmation สะกดชื่อถูก พอมาที่นี่ข้อมูลชื่อผิด มันไปผิดตอนไหนก็ไม่รู้ ก็กลัวว่าจะขึ้นเรือไม่ได้เพราะชื่อผิด แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่เป็นรัย ไปแก้ได้ในเรือที่เดียวกับที่แจ้งกระเป๋าหายนั่นเอง

ที่แอบขำเล็กๆ คือว่า การแบ่งห้องนอนก็ให้ คุณพ่อ กับ dad นอนห้องเดียวกัน ส่วนตัวเองก็นอนห้องเดียวกับคุณแม่ แต่คุณแม่ตอนกรอกชื่อจองใช้ prefix ว่า Dr. ทางคนจองเลยเข้าใจว่าเป็นหมอผู้ชาย มากับเมีย ข้าพเจ้าก็เลยกลายเป็น Mrs. ไปโดยปริยาย ... เข้าไปในห้องมีใบโปรโมชั่น champagne candle light dinner สามีภรรยาสุดหรูไว้ให้ไปใช้บริการด้วย!!! อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนแต่งงานแล้วซะงั้น แถมแต่งกับคุณแม่ตัวเองอีกตะหาก 555



จังหวะแรกที่จะเดินเข้าเรือ (ใช้คำว่าเข้าดีกว่า ลงมันก็ไม่เหมือนลงอ่ะ มันสูง เดินเข้าไปที่ชั้นห้าแหน่ะ) ก็รีบมองเรือชูชีพก่อน ... มีแค่นี้จะพอมั้ยเนี่ย แล้วมันเป็นของจริงใช่มั้ย ไม่ใช่โฟมตัวทาสีนะ (ใครหลอนก่อนมาไม่รู้จำไม่ได้ จำไว้เลยยยย) พอเข้าไป โอ้ โห เหมือนในหนังเลย มันมีจริงๆ ด้วยนะ เรือที่เป็นแบบนี้ ทางเดินดูมึนงงมาก จะหลงมั้ยไม่รู้ รีบขอแผนผังก่อนเลยอย่างแรก ห้องพักอยู่ชั้น 12 ชื่อว่า aloha deck เป็นชั้นบนสุดของห้องพัก ข้างบนจะเป็น observation deck, spa, กับห้องอาหาร buffet ชั้นห้องพักเดาว่ามันคงมาจาก a b c d ... ประมาณนี้ ชั้น 12 Aloha deck ชั้น 11 Bahama deck ชั้น 10 C... อะไรไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว

อีกอย่าง ด้านซ้ายกับขวาของเรือเค้าจะไม่เรียกกันว่า ซ้าย ขวา เค้าจะเรียกตามหัวเรือคือ หันหน้าไปทางหัวเรือ ด้านซ้ายเรียกว่า port side ด้านขวาเรียกว่า starboard side ห้องที่ได้ก็อยู่ทาง starboard side ซึ่งก็รู้สึกดี ไม่รู้เป็นเพราะถนัดขวาหรือเปล่า เวลาเรือแล่นแล้วมองออกไปเห็นวิวทางด้านขวาจะรู้สึกชินกว่ายังงัยไม่รู้ ภายในห้องก็สะอาดดี มีห้องน้ำในตัว มีเตียง twin 2 เตียง โต๊ะแต่งตัว โต๊ะวางของ ทีวี เหมือนห้องพักโรงแรม 3 ดาว แต่ที่ดีที่สุด และดีกว่าโรงแรมคือมีระเบียงชมวิว ที่วิวจะเปลี่ยนของมันเองตลอดเวลา (^o^~ )/



มาดูในเรือบ้าง ดาดฟ้าเรือจะเป็นส่วนที่เป็นสระน้ำ ซึ่งมีทั้ง indoor และ outdoor ตอนเห็นคิดในใจว่าหนาวขนาดนี้ใครมันจะบ้าลงสระฟระ... แล้วมันก็มีจริงๆ 555 สระน้ำเป็นสระปรับอุณหภูมิ เห็นไอร้อนไหวๆ ตอนอยู่ในสระก็พอจะเข้าใจได้ ตอนขึ้นจากน้ำแล้วต้องเดินไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านี่ซิ ใส่โค้ทอยู่ยังหูจะขาดแล้วเลย ฝรั่งทนได้เจรงๆ ข้างบนสุดเป็น observatory deck ให้ขึ้นมาชมวิว มี outdoor oversize chessboard ด้วย แต่นะ เย็นขนาดนี้ ลมแรงขนาดนั้น ใครจะมีสมาธิเล่นได้ หรือเค้าไว้ใช้ฝึกจิตก็ไม่รู้ ส่วนตัวยืนเฉยๆ ก็สติแตกซ่านวิ่งหากำบังลมเรียบร้อย



จุดชมวิวที่มีลมปะทะจะมีกระจกใสอยู่รอบ คงกลัวจะมี man over board หรือคนตกเรือนั่นแหละ กระจกวันแรกก็ใสดี วันที่สามชักมัวละ ก็เข้าใจอ่ะนะ ใครจะออกไปเช็ดให้จากนอกเรือตอนมันแล่นอยู่ (^x^" ) ส่วนโถงด้านในเป็นจุดที่ก่อความขนลุกขนพองมาก เพราะเป็นลิฟท์แก้ว แล้วตอนที่ไปถึง เจ้าหน้าที่ในเรือกำลังก่อ champagne pyramid อยู่ ก็เอาแก้วมาซ้อนๆ กันแล้วรินแชมเปญลงไปนี่แหละ จริงๆ มันก็สวยดีไม่น่าหลอน แต่มันเหมือนฉากเปิดเรื่อง poseidon มากๆ ที่เป็นฉากปาร์ตี้ ก่อนที่มันจะล่ม เลยแอบรู้สึกหวาดเล็กๆ ด้านในทางเดิน counter service เหมือนอยู่โรงแรมขนาดใหญ่มากๆ บางวันคลื่นลมสงบ เดินๆ แล้วลืมไปเลยว่าอยู่บนเรือ



ห้องอาหารบนเรือแบ่งเป็น buffet ฟรี และเปิด 24/7 ส่วนห้องอาหารหลักจะแบ่งกันตามบัตร โดยบนบัตร id จะมีระบุเลยว่าเราต้องนั่งทานห้องไหน และทานได้ห้องนั้นเท่านั้น โชคดีวันท้ายๆ ห้องประจำเต็มคนเยอะมาก เลยได้ upgrade ไปนั่งอีกห้องที่เหมือนจะหรูกว่า แต่เมนูก็เหมือนกันเลยไม่รู้ว่ามันต่างกันตรงไหนนอกจากคนน้อยกว่า ส่วนห้องอาหารอื่นๆ จุดนั่ง drink bar lounge เหล่านั้นต้องเสียเงินเพิ่มนอกเหนือจากค่าเรือที่จ่ายไป ห้องอาหารในเรือก็จะมีห้องอาหารอิตาลี กับห้องอาหาร steak ด้วยว่าไม่มีห้องอาหารญี่ปุ่น เลยไม่ได้อยากที่จะไปชิมที่อื่นนัก ห้องปกติก็เปลี่ยนเมนูทุกวัน แค่นี้ก็ทานไม่หวาดไม่ไหวแล้ว

ในเรือจะมีร้านอาหารมากมาย ร้านขายของซึ่งจะมี american brand เช่น guess แล้วก็มี international brand เช่น swarovski ที่มีมากที่สุดจะเป็นร้านขายเครื่องเพชร โดยจะมี personal helper ช่วยประกบอย่างดี เพราะส่วนมากคนมักจะมาขอแต่งงานกัน หรือฉลอง honeymoon ไม่ก็ anniversary ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะเกิดการเสียตังค์ ร้านขายของไม่ใช่จุดเดียวที่ดูดทรัพย์ จุดใหญ่ที่สุดคือ casino เป็น casino ลอยน้ำที่รวมทั้ง slotmachine (ที่ไม่ใช่วง) และโต๊ะไพ่ไว้ในที่เดียวกัน เห็นบางคนนั่งตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย เค้าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้กันจริงๆ ส่วนบริการอื่นๆ ที่ไม่ต้องเสียทรัพย์ก็จะมีเช่นยิม แต่... ใช่มันมีแต่ แต่ถ้าลงคอร์สพิเศษ หรือมี personal trainer (แค่เจ็ดวันจะได้ผลมั้ยเนี่ย) ต้องจ่ายเพิ่ม มีโรงหนังที่ดูฟรี แต่มีเรื่องเดียว ตอนที่ไปคือ the secret life of bees เค้าว่าดี แต่ไม่ได้ดู เมื่อมีโรงหนังก็มีโรงละคร ซึ่งมีละครให้ดูทุกวัน คุณแม่กับ dad ชอบมากกกก ไปดูกันทุกคืน ส่วนคุณพ่อ ประจำการอยู่ตามกราบเรือ รอถ่ายรูปเป็ดทะเล คงเป็นญาติห่างๆ ของผีทะเล การจะถ่ายให้ติดเลยอยู่ในขั้นยากมากกกกก

นอกจากนี้แล้ว บนเรือก็ยังมีส่วนที่เป็น track ไว้วิ่งออกกำลังกาย เป็นชั้นที่เปิดสองข้างให้วิ่งวนรอบเรือ และเป็นจุดที่ถ่ายเทอากาศของในเรือ ซึ่งคุณพ่อเป็นผู้ค้นพบว่า ถ้ามายืนดูนกตรงนี้ จะอุ่นกว่าที่ไหนๆ เพราะเป็นจุดที่ลมร้อนระบายออกมาพอดี ... เก่งมากๆ หาทั้งเรือจนเจอที่ๆ สบายที่สุด 555 และเป็นจุดที่อยู่ใกล้น้ำกว่า observation deck แปลว่าถ้าเจอตัวอะไรต่อมิอะไรจะถ่ายรูปได้ใกล้กว่า ...

ผลน่ะหรือ ตอนพยายามมองหาเจ้าวาฬหลังค่อม (hunchback whale) ตัวใกล้ๆ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ไกลๆ เห็นพ่นน้ำลิบๆ คุณวาฬเจ้ากรรมก็ว่ายมาตรงที่ยืนอยู่พอดี แทบจะติดกับเรือ จากที่บอกว่าอยู่ตรงนี้เห็นใกล้ถ่ายดี กลายเป็นมัวแต่ดีใจตื่นเต้น กว่าจะเปิดหน้ากล้อง น้องวาฬก็ไปไหนต่อไหนแล้ว 555 เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สิ่งที่สำคัญกว่า location location location คือ "สติ"



ชมในเรือมามากแล้ว มาชมนอกเรือบ้าง ทริปนี้จะเป็นนั่งเรือชมอ่าว และจุดประสงค์หลักคือชม glacier bay ทำให้เรือจะค่อยๆ แล่นเลียบฝั่ง หรือแล่นในช่องแคบเป็นส่วนใหญ่ ที่ฉลาดน้อยก็คือ มาทางนี้ แผ่นดินใหญ่อยู่ทางซ้ายของเส้นทาง ห้องอยู่ทางขวา ทำให้บางวันมองเห็นแต่น้ำกับทะเล ไม่รู้เลยว่า อีกด้านเค้ากรี๊ดๆ เห็นฝูงปลาโลมา เห็นน้อง sea lion นอนอาบแดดเลียบฝั่ง แต่แค่วิวที่เห็น ก็ประทับแล้ว (ในที่นี้คือประทับใจซักสามวัน วันที่สี่ เวลาเห็น ก็จะรู้สึกว่า เฮ้อออ ฟ้า น้ำ น้ำแข็ง ความสุนทรีย์ช่างมีน้อยนิดจริงๆ ฮ่าๆ)



และนอกเหนือไปจากน้ำแข็งแล้ว การมาอยู่บนเรือก็ทำให้รู้ว่าการได้มองพระอาทิตย์ลับฟ้า และมุมมองแบบ panorama มันทำให้รู้สึกดีแค่ไหน ไม่ได้เห็นอะไรโล่งๆ มานานแล้ว

ก่อนลงเรือได้เห็นภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะใหญ่โตมากมาย ทำให้เกิดความฮึกเฮิม (จะไปรบเร๊อะ!) กะว่าจะต้องได้เห็นอีกเต็มๆ แน่ๆ ในการล่องเรือนี้ ยิ่งวันแรก ทางเรือประกาศปรับเวลา รวมทั้งแจ้งว่า อย่าตกใจไป ถ้าพบว่า ฟ้ายังไม่มืด เพราะเราขึ้นมาทางเหนือ พระอาทิตย์จะช้ากว่าทางใต้ และในวันแรกนี้ พระอาทิตย์จะตกตอนเวลายี่สิบสามนาฬิกา... โอ้วววว อีกนิดเดียวก็จะได้เห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนแล้วซินะ ตื่นเต้นมากกกก มองฟ้าตลอดว่ากี่โมงแล้ว จะมืดหรือยัง หากวันแรกเดินทางมาอย่างทรหด สุดท้ายก็ม่อยไปก่อนได้เห็นพระอาทิตย์ตอนยี่สิบสามนาฬิกา แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรมาก เพราะหลับกันหมด 55 ถ้าเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เห็นคงจะนอยด์น่าดู ^^"

ท้องฟ้าทั้งหมดที่เห็นเป็นรูปที่ถ่ายหลังสองทุ่มครึ่งค่ะ




อยู่บนเรือเยอะละ รอบหน้ามาเที่ยวเมืองใน alaska กันดีกว่า "o(^.^ )o"



ยาวจัด ขอพักหน่อยนะคะ ไว้มาต่อกันคราวหน้าค่า
Loveyoukids
#19
คุณโก้ขา ช่วยให้เราหายบื้อไปเลย นึกมาตลอดเหมือนกันนะเนี่ย ว่า alaska ต้องเป็นแบบขาวๆ หิมะโพลนๆ ผู้คนใส่ overcoat กันสุดฤทธิ์ ติตตามชมตอนต่อไปอยู่นะค๊า
mimi
#20
สวยเนอะพี่โก้้...มี่อยากไปมากๆๆเลยแต่เห็นราคา+ต้องไปขึ้นที่เมกาก้อ...-*-
แถมมีแววว่าถ้าอยากไปทัวร์แบบนี้ที่บ้านไม่สนแน่นอน จะไปเองคนเดียวก้อนะ...
T^T

แล้วตอนพี่ไปยืนที่ดาดฟ้าเรือมันสูงจากน้ำมากเลยมั้ยอะคะ มี่กลัวความสูงอะพี่ยิ่งสูงๆๆโล่งงๆๆด้วยแล้ว...T.T
devilyee
#21
อร๊ายยย สวยจังเลยง่า
รูปงามทุกทริปเลยนะค้า

ปะป๊ายาหยีก็เพิ่งไปมาช่วงเดียวกับคุณโก้เลยค่ะ แอบแวะไปช้อปปิ้งคนเดียว
ตอนแรกเค้าจะไปแค่แวนคูเวอร์ พอกลับมาคุยอวดใหญ่เลยว่าไปอลาสก้ามาด้วย โฮะๆ
ถ้ารู้ว่าสวยขนาดนี้นะ ไม่ยอมพลาดหรอก เสียดายไม่ได้ไปอ่า
Arlex
#22
คุณโก้ถ่ายรูปสวยจังค่ะ วิวสวยมากๆ อิอิ เหมือนได้ไปเที่ยวเอง ขอบคุณที่นำภาพสวยๆมาฝากกันนะคะ ดูแล้วสบายตา สบายใจจริงๆ

รอชมต่อนะคะ :)
Dollabhon
#23
สวยจังค่ะ เหมือนได้ไปเองเลย ขอบคุณนะค่ะที่มาแบ่งปัน สวยจริงๆ ค่ะ
AAA
#24
สวยอะน้องโก้...อยากกกกกกกกกกไปปปปปปปปปปปปปปปปปปปป

แต่ไม่มีตังงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง:)
makeberry
#25
อยากไปมั่งจังค่ะ
แต่ทรัพย์ไม่อำนวย อด T_T
wnonach
#26
Wow!!!Amazing jing jing ka. Thank you for all great pictures na ka.:D
cocoa
#27
Originally Posted by Loveyoukids
คุณโก้ขา ช่วยให้เราหายบื้อไปเลย นึกมาตลอดเหมือนกันนะเนี่ย ว่า alaska ต้องเป็นแบบขาวๆ หิมะโพลนๆ ผู้คนใส่ overcoat กันสุดฤทธิ์ ติตตามชมตอนต่อไปอยู่นะค๊า

เนอะๆ ส่วนตัวภาพ alaska นี่ใกล้เคียงกับ eskimo มากๆ เลย ตอนไปก็เอ๋อเหมือนกันค่ะ

Originally Posted by mimi
สวยเนอะพี่โก้้...มี่อยากไปมากๆๆเลยแต่เห็นราคา+ต้องไปขึ้นที่เมกาก้อ...-*-
แถมมีแววว่าถ้าอยากไปทัวร์แบบนี้ที่บ้านไม่สนแน่นอน จะไปเองคนเดียวก้อนะ...


T^T

สวยมากเลย แต่วันที่สี่จะลงแดง 555 สุดท้ายก็เข้า sbn บนเรืออ่ะ วิวมันซ้ำๆ แล้วเราไม่ได้อินขนาดนั้น พี่ว่ามันเป็นทริปของคนมีอายุหน่อยนะ แบบเห็นเค้ามา relax กัน

[SIZE="3"]dad แอบมาบอกว่า ถ้ายูไม่เห็นปลาวาฬ ให้ขึ้นไปบนห้องอาหาร พี่ก็แบบ แล้วจะเห็นหรอคะ dad บอกว่าอือ ต่อเต็มแถว buffet เลย... ^^"

หรือไม่เป็นพวกมาขอแต่งงานหรือ honeymoon ก็เอางี้จิ แต่งงานแล้วขอ trip honeymoon เป็นอันนี้ จบแล้วชอปต่อที่เมกา กับแคนาดาเลย อิอิ พอดีที่บ้านพี่เค้าชอบเที่ยวแนวธรรมชาติอ่ะ แล้วต้องมาร่วมงานแต่งงานอยู่แล้ว เลยรวบไปเลย เพราะถ้าจะให้คุณพ่อคุณแม่บินมาเมกาอีกสงสัยคงยากน่ะ นั่งกันยาวมาก

Originally Posted by mimi


แล้วตอนพี่ไปยืนที่ดาดฟ้าเรือมันสูงจากน้ำมากเลยมั้ยอะคะ มี่กลัวความสูงอะพี่ยิ่งสูงๆๆโล่งงๆๆด้วยแล้ว...T.T

สูงประมาณตึก 15 ชั้นจ้ะ พี่ก็ยืนแป๊บๆ กลัวเหมือนกัน โล่งมาก กลัวเป็น (wo)man overboard 555

Originally Posted by devilyee
อร๊ายยย สวยจังเลยง่า
รูปงามทุกทริปเลยนะค้า

ปะป๊ายาหยีก็เพิ่งไปมาช่วงเดียวกับคุณโก้เลยค่ะ แอบแวะไปช้อปปิ้งคนเดียว
ตอนแรกเค้าจะไปแค่แวนคูเวอร์ พอกลับมาคุยอวดใหญ่เลยว่าไปอลาสก้ามาด้วย โฮะๆ
ถ้ารู้ว่าสวยขนาดนี้นะ ไม่ยอมพลาดหรอก เสียดายไม่ได้ไปอ่า

ขอบคุณมากเลยค่ะ ถ้ามีโอกาสน่าไปนะคะ เป็น once in a life time trip ประมาณนี้ โก้ว่าคล้ายๆ ไปทะเลทรายอ่ะค่ะ นี่ก็อยากไปอยู่ แต่ปัจจัยไม่มี แหะๆ เก็บตังค์ก่อง

Originally Posted by Arlex
คุณโก้ถ่ายรูปสวยจังค่ะ วิวสวยมากๆ อิอิ เหมือนได้ไปเที่ยวเอง ขอบคุณที่นำภาพสวยๆมาฝากกันนะคะ ดูแล้วสบายตา สบายใจจริงๆ

รอชมต่อนะคะ :)

ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ จริงๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย กดรูปมาก็สวยแล้ว เค้าสวยของเค้าอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ่ายยังงัยก็สวยค่ะ อยากเห็นท้องฟ้าบ้านเราเป็นแบบนี้จัง ต้องช่วยๆ กันเนอะ

Originally Posted by Dollabhon
สวยจังค่ะ เหมือนได้ไปเองเลย ขอบคุณนะค่ะที่มาแบ่งปัน สวยจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ มาแบ่งๆ กัน โก้ก็ได้แรงบันดาลใจอยากไปอีกหลายๆ ที่จากที่นี่เหมือนกัน ^^

Originally Posted by AAA
สวยอะน้องโก้...อยากกกกกกกกกกไปปปปปปปปปปปปปปปปปปปป

แต่ไม่มีตังงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง:)

เอาตังค์ไปลงทุนหมดอ่ะจิพี่เอ ไม่ต้องเรย เลิกไปญี่ปุ่นซักสองสามรอบก็ไปได้แล้วแหม คริคริ ว่าแต่เมื่อไหร่เราจะได้ทานข้าวกันคะ รอคุณนายแอนสงสัยจะเป็นปีหน้า ฮ่าๆ

Originally Posted by makeberry
อยากไปมั่งจังค่ะ
แต่ทรัพย์ไม่อำนวย อด T_T

สู้ๆ น้า จริงๆ โก้เองก็ได้ใบบุญคุณพ่อคุณแม่ทำให้ได้ไปทริปนี้เหมือนกัน คนเราถ้าพยายามก็ต้องได้ซิเนอะ โก้เองอยากไปมาหลายปีแล้ว เพิ่งมีนี่แหละค่ะที่ได้ไป ตอนแรกจะไม่ไปแล้ว ตอนนี้คิดว่าตัดสินใจไม่ผิด อยากไปอีกก็ไม่รู้จะได้ไปอีกหรือเปล่า ทรัพย์จางเหมือนกันค่ะ แหะๆ

Originally Posted by wnonach
Wow!!!Amazing jing jing ka. Thank you for all great pictures na ka.:D

Thank you to you too ka. Glad that you enjoy my trip ka.


อ่ะ วันนี้อู้งานมาต่อกันนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะยังมีคนรอชมอยู่ป่าว แหะๆ
cocoa
#28
หลังจากฝ่าด่านอรหันต์แล้วได้ลงเรือแล้ว (โอ้ว สั้นได้อีก)

ก็ถึงคราวล่องนาวา แผนที่การล่องเรือจะเริ่มจาก port ตรงใกล้ๆ anchorage เรียกว่า Whittier --- Prince William Sound (เป็นอ่าวก่อนออกทะเล คล้ายๆ ทะเลปิดเพราะล้อมด้วยเกาะแก่งมากมาย) --- College Fjord --- Glacier Bay National Park --- Skagway (ขึ้นฝั่งชมเมือง) --- Inner Passage (เป็นเส้นทางเดินเรือลัดเลาะช่องแคบ) --- Juneau (ขึ้นฝั่งชมเมืองหลวงของ alaska) --- Ketchikan --- Vancouver สรุปว่าการเดินทางเจ็ดวัน ส่วนมากก็จะใช้ชีวิตอยู่บนเรือนั่นแล เรือจึงมีความสะดวกเพียบพร้อมมากมายอย่างที่เห็น

นั่งเรือชมน้ำแข็งไปแรกๆ ก็ตื่นเต้นดี ออกไปยืนตามกราบเรือให้ความเย็นมันค่อยๆ ฟรีซใบหน้า กะว่าหน้าตึงขนาดนี้ ขึ้นจากเรือจะได้หน้าอ่อนเยาว์ โฮะๆ แต่อย่างที่บอก เรือมันลำใหญ่มาก ทำให้บรรดาปลา และสัตว์ที่กะว่าจะเห็น มันว่ายหนีไปหมด เห็นเป็นตัวเล็กๆ หัวเท่าเข็มหมุด ยืนได้ไม่นานก็หมดความอดทน กลับไปอยู่ในเรืออุ่นๆ ดีกว่า อยู่ในเคบินนั่งชมวิว วิวที่เห็นจากวันแรกก็เป็น ฟ้า น้ำ น้ำแข็ง... ฟ้า น้ำ น้ำแข็ง... ฟ้า น้ำ น้ำแข็ง... สามวันผ่านไปก็ยังคงเป็น ฟ้า น้ำ น้ำแข็ง กรี๊ด รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า น้ำแข็งสวยๆ ก็เฉยๆ แล้ว มันสวยจริงแหละ แต่มันก็คือน้ำแข็ง สงสัยเราจะไม่สามารถเข้าถึงความเป็นธรรมชาติได้เจรงๆ พอวันที่สี่ ทางเรือก็ประกาศว่าจะจอดแวะพักที่เมืองแรก Skagway มีเวลาให้ประมาณ 8 ชั่วโมง และต้องกลับมาลงเรือให้ทัน ... พอได้ยินดีใจมากกกก จะได้ลงไปเดินบนดินอีกแล้วซินะ นั่งอ่าน brochure ของเมือง คือว่าทุกอย่างที่จะทำต้องเสียเงินเพิ่มหมด นัยว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวนั่นแล ดูๆ ไปก็เฉยๆ มีนั่งรถไฟไปเหมือง นั่งเครื่องบินเล็กชม glacier แต่ที่อยากทำมากที่สุด และคิดไว้ตั้งแต่ก่อนมาว่าต้องโดนคือ นั่งเลื่อนลากด้วยน้องหมาไซบีเรียน!!! อันนี้แหละ ความใฝ่ฝัน ดูราคาแล้วแอบกลืนน้ำลาย อาจจะต้องตัดงบ shopping ออกไปส่วนนึงเลยเต็มๆ เอางัยดี แต่มาถึงนี่แล้วนี่นะ shopping ซื้อที่ไหนก็ได้ เลื่อนมันต้อง alaska ว่าแล้วก็รีบลงไปจองที่... จ๋อยฮ่ะ จ๋อย ไม่ใช่เต็มหรืออะไรนะ แต่เจ้าหน้าที่อธิบายว่า ถึงเราจะเห็นน้ำแข็งมากๆ แบบนี้ แต่ฤดูนี้ เค้าถือว่าเป็น spring ดังนั้น หิมะบนเขาส่วนใหญ่จะละลายไปหมดแล้ว โปรแกรมเลื่อนน่ะมี น้องหมาไซบีเรียนลากเลื่อนก็มี แต่ที่มีมากกว่าที่อยากได้คือ เลื่อนน่ะ มันติดล้อยาง งี้มันก็เหมือนน้องหมาลากซาเล้งน่ะซิ T^T ว่าแล้วก็ถอยทัพกลับไปด้วยความช้ำใจ วันหลังตรูมาหน้าหนาวก็ได้ (ถ้าไม่หนาวหงิกไปซะก่อน น้องหมาลากเลื่อน คราวหน้าเจอกัน!)



พอไม่ไปเล่นเลื่อนเลยไม่รู้จะทำอะไร หมดมุกว่างั้น ก็เลยกะว่าจะเดินเล่นๆ ในเมืองดูของชมวิว คุณพ่อกับคุณ dad ก็บอกว่าจะไป hiking ขึ้นไปดูทะเลสาบ คุณแม่ก็พลอยเห็นดีเห็นงาม ด้วยว่าขาคุณแม่ยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ และตัวเองก็ไม่มีโปรแกรมอะไรแน่นอน เลยเอาฟระ ไปปีนเขาก็ได้ ออกกำลังกายกับเค้าซะบ้าง ปกติอยู่สิงคโปร์ถ้าไม่องค์ลง shopping อย่างบ้าคลั่ง ไม่มีทางเดินเกินวันละกิโลอย่างแน่นอน แถมพอเห็นความสูงก็แอบหวั่นๆ นิดๆ รองเท้าก็ใส่มาก็ดันเป็นรองเท้าผ้าใบแฟชั่น onitsuka พื้นเกาะถนนมากกกก คนตดก็ล้มแล้ว แต่ก็นะ ดูแล้ว trail มันคงไม่ยากมากหรอก เห็นคนอายุห้าสิบหกสิบ เดินกันสบายๆ เราก็ต้องทำได้ซิ... เมื่อได้จุดมุ่งหมายคือไปดูทะเลสาบอะไรซักอย่างที่คนความจำสั้นย่อมจำไม่ได้ ก็เริ่มออกเดินทาง ระหว่างทาง มีทั้งนักท่องเที่ยวที่มาปีนเขาเหมือนกัน และมีชาวท้องถิ่นที่พาน้องหมามาออกกำลังกาย ถ้าเป็นบ้านเราก็คงอารมณ์พาหมาไปวิ่งในสวนลุมนั่นแหละ แต่นี่ขึ้นภูเขา ^^" มันช่างให้ฟีลที่ต่างกันเหลือเกิน



เดินๆ พอเหนื่อยหลายๆ เหนื่อย เดินไปก็กังวลไป เดินขึ้นไม่กลัวกลัวขาลง นี่แหละคน ตรงหน้ายังไม่สำเร็จก็กังวลถึงอนาคตแล้ว แต่เอาน่าถ้ามันต้องลงมันก็ต้องลงแหละ มีทางก็ค่อยๆ ไต่ไปละกัน เดินเพลินๆ เหงื่อเริ่มออก พอเริ่มรู้สึกว่าคิดผิดที่เอาโค้ทมาด้วยก็ถึงทะเลสาบซะที ลมเย็นๆ สดชื่นๆ ช่วยให้หายเหนื่อยได้ดี แถมบริเวณรอบทะเลสาบเป็นที่ราบ เดินแล้วไม่ค่อยทุลักทุเลนัก คล้ายๆ เป็นช่วง cool down เวลาไปออกกำลังกายเลย เจอนักท่องเที่ยวที่เดินสวนมาเตือนว่า อย่าเดินรอบทะเลสาบ เพราะตอนจะครบรอบทางจะแย่มาก ชันแคบลื่น ประมาณนั้น เค้าเดินไปแล้วต้องเดินย้อนกลับมาทางเดิม เพราะลุยต่อไม่ไหว



เลยมองหน้ากัน คุณพ่อน่ะไม่ต้องเดาไปแน่ๆ คุณ dad ก็เลยจะไปด้วย ส่วนคุณแม่เนี่ย เดินไม่ไหวชัวร์ เลยตกลงกันว่าแยกเป็นสองกลุ่มละกัน คุณพ่อไปต่อ คุณแม่กลับทางเดิม ตอนกลับรู้สึกเหมือนเป็น Hansel and Gretel ยังงัยไม่รู้ โดนพาเข้าทิ้งในป่าลึกๆ แล้วต้องหาทางออกมาเอง ดีว่ามีของที่สบายกว่าขนมปัง นั่นคือกล้อง digital ถ่ายรูปตามแยกไว้กันเหนียว ฮ่าๆ และก็แอบจำๆ ทางอยู่บ้าง เผลอ detour ไปนิดนึง แต่ทำนิ่งๆ เด๋วคุณแม่ panic ทำเป็นตั้งใจจะแวะมาถ่ายรูปตรงนี้ แล้วค่อยย้อนกลับมาทางเดิมเนียนๆ 55 (อย่ามีใครไปบอกคุณแม่นะคะ) สุดท้ายก็กลับออกมาได้อย่างปลอดภัย มานั่งรอก๊วนคุณพ่อด้วยความหิวโหย ก็ใช้กำลังไปเยอะอานะ สรุปเบ็ดเสร็จเดินไปเกือบสามชั่วโมง



Skagway เป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก หน้าตาเหมือนเมืองที่ทำไว้ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยว สะอาด เรียบร้อยไปซะทุกมุม มีรถม้าไว้บริการนักท่องเที่ยว คล้ายๆ ลำปาง (ทฤษฎีเหมารวม ถ้ามีรถม้า... ต้องลำปาง ฟันธง!) แล้วก็บังเอิญเจอสีสันของเมืองเป็นนักเขียนหนังสือที่เห็นแล้วอดนึกถึง Mimi จาก The Drew Carey Show ไม่ได้ ท่าทางเธอคงดังมาก ตอนเธอมาจอดรถเพื่อส่งหนังสือ มีเสียงทักทายเธอดังไปหมด และคงด้วยการแต่งตัวด้วยแหละ



พอใกล้ๆ ห้าโมงก็ต้องกลับขึ้นเรือ เพื่อจะเดินทางต่อ ผลของการเดินป่า (เดินแค่นี้เรียกเดินป่าแล้วนะ ฮ่าๆ) ทำเอาหลับเร็วแต่หัววันทีเดียวเชียว หลังจากนั้นก็เรือก็ล่องมาที่เมืองถัดไปซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ Alaska นั่นคือ Juneau แอบหวังๆ ไว้ว่าเมืองหลวงเชียวนะ ต้องอลังการกว่า Skagway ซิ Skagway ออกจะน่ารักขนาดนั้น Juneau ก็ต้องน่ารักกว่า แต่ลืมไปว่า เป็นเมืองหลวง ความแตกต่างมันก็จะคล้ายๆ อืม กรุงเทพกับเขาใหญ่มั้ง ลักษณะเมืองก็ต้องมากกว่ากัน พอมาถึง มีเวลาให้น้อยกว่าตอนไป Skagway ตอนมาถึงแอบอึ้งๆ มันดูแห้งๆ เศร้าๆ นิดนึง ดูเป็นเมืองทำงาน มีโรงงาน มีออฟฟิสกระจายอยู่ บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นตึกคอนกรีตแล้ว แต่ก็ยังมีความน่ารักแบบดั้งเดิมแทรกๆ อยู่บ้าง นอกเหนือจากนักท่องเที่ยว แล้วก็คนขายของแล้ว ไม่ค่อยมีคนพื้นถิ่นเท่าไหร่ เค้าก็คงต้องไปทำงานกันอ่ะนะ




ที่ชอบมากของ Juneau คือมีกระเช้าขึ้นไปบนเขาชมวิวของอ่าว และเมืองทั้งหมด สวยมากๆ ขึ้นไปข้างบนอากาศดี ยังพอมีหิมะเล็กน้อย ระหว่างทางขึ้นเข้าได้เห็นลูกหมีสีน้ำตาล (Brown Bear Cub) ด้วย แต่ถ่ายรูปไม่ทัน ก็มันอยู่บนกระเช้า เลยได้มาเป็นภาพไหวๆ (อีกตามเคย) คุณไกด์ของกระเช้าเล่าว่ามีคนเห็นมาหลายวันแล้ว เดาว่าน่าจะพลัดกับคุณแม่หมี เลยต้องมาหาอาหารเอง เพราะยังไม่มีใครรายงานว่าเห็นคุณแม่หมี และน้องลูกหมีก็ยังเด็กเกินไปกว่าที่จะหาอาหารทานเอง เห็นเค้าว่ากันว่าตามหาคุณแม่หมีอยู่ จะได้เอาน้องลูกหมีไปคืน เพราะเค้าเกรงว่าถ้าน้องลูกหมีหาอาหารเองไม่ได้ อาจจะลงไปที่เมือง คือถึงจะชื่อน้องลูกหมี แต่น้องลูกหมีก็ตัวเกือบสองเมตร อาจก่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ ฟังแล้วก็แอบยิ้ม น่ารักดี เหมือนเด็กพลัดหลงในห้างเลย ดีว่าน้องลูกหมีหลงที่นี่ ถ้าหลงที่อื่นสงสัยได้แยกส่วนลงไปอาบน้ำอุ่นซะแล้ว ยังงัยก็ขอให้เจอคุณแม่หมีไวๆ นะจ๊ะ






เมืองสุดท้ายที่แวะก่อนไป Vancouver คือเมือง Ketchinkan เมืองออกแนวเป็นเมืองเล็กๆ ที่คนอยู่กันจริงๆ ไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวมากนัก มีร้านค้าประปราย ส่วนตัวค่อนข้างชอบเมืองนี้ที่สุดเพราะดูเป็นเมืองที่คนใช้ชีวิตกันจริงๆ (พูดซ้ำไปซ้ำมาทำไมเนี่ย) เราเลือกกันที่จะเดินตาม trail ขึ้นไปดูตรงต้นน้ำที่เค้าเขียนกันว่าเป็นแหล่งกำเนิดปลาแซลมอล ได้ยินก็สุดแสนจะดีใจ ถ้าต้องเกิดใหม่อยากจะเกิดเป็นหมี grizzly จะหม่ำแซลมอลดิบฟรีให้ถึงใจทีเดียว เดินไปจะหยุดแวะถ่ายรูป dad บอกว่าให้รีบเดินต่อ ย่านนี้ไม่ค่อยปลอดภัย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไร หรือเป็นเพราะเราเดินไปเรื่อยๆ จนถึงย่านที่ค่อนข้างเสื่อมโทรมไม่รู้ แต่ที่เจ๋งจริงๆ คือพอเดินมาจนถึงบริเวณที่เป็น port ของเมือง ก็เจอร้านอาหารไทย! จำได้ว่าเพิ่งอ่านเจอในไหนไม่รู้ว่ามีคนไทยเปิดร้านอาหารไทยใน Alaska และเป็นคนใจบุญคือทำขายด้วย ช่วยเหลือคนจนด้วย เป็นผู้หญิงไทยใจสู้ว่างั้น ไม่แน่ใจว่าร้านนี้หรือเปล่าเพราะตอนเดินผ่านเค้าไม่ได้เปิดร้าน ความรู้สึกตอนนั้น คิดว่ามันน่าเป็นความรู้สึกของคนไกลบ้าน ที่ลึกๆ เวลาเห็นอะไรที่ relate สู่ถิ่นฐานเดิม จะเกิดอาการภูมิใจ และดีใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยังงัยก็แอบเอาใจช่วยคนไทยไกลบ้านทุกคนนะคะ (มาได้งัย ^^")

จุดเด่นอีกอย่างของเมือง Ketchinkan คือเป็นเมืองแห่ง totem มีให้เห็นเต็มไปหมดทั้งเมือง ตื่นตาตื่นใจมาก มีตั้งแต่ไม้แกะสลัก original ไปจนปูนทาสี (อารมณ์ของใหม่ทำเลียนแบบว่างั้น) เดินๆ แล้วเลือดคณะพุ่งพล่าน ในใจร้องแต่ว่า totem tom tom... totem tom tom ไม่ใช่อะไร จำได้แค่นี้แหละ 555 ผ่านมานานนัก จำได้แต่ท่อนสร้อยอะนะ ดีใจมาก ได้มาเห็นของจริงตัวเป็นๆ



อีกอย่างที่น่ารักของเมืองนี้คือ ด้วยความที่เป็นเมืองที่มีคนอยู่คนใช้ชีวิต จะมีอะไรแปลกๆ ตามหน้าต่าง หรือตามต้นไม้เต็มไปหมด ต้องคอยมองซ้ายมองขวา เป็นกระเหรี่ยงเข้ากรุง ที่แอบฮาอีกอย่างก็คือ ตอนอยู่บนเรือเลือกทางเดินจากจุดหมายว่าจะไปไหนบ้าง พอมาถึงจริงๆ เห็นชื่อ trail แล้วแบบว่าฮากลิ้ง trail ชื่อว่า married man's trail... รูปนี้ได้คุณ dad เป็น presenter ให้กับหนุ่มโสดทุกท่านว่า ถ้าเป็นไปได้ ไปทางอื่นเต๊อะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ไม่จริงนะคะ คุณ mom น่ารักมากๆ ลูกๆ ก็น่ารักมาก เป็นครอบครัวแคนาเดียนที่อบอุ่นทีเดียวเลย)



และแล้ว alaska trip ก็กำลังจะปิดฉากลง แอบเหงาๆ นิดหน่อยตอนเดินกลับไปเรือ ได้แต่หวังว่าจะได้มีโอกาสมาที่นี่อีก



พบกับตอนจบของ alaska trip คราวหน้าค่ะ จะจบแล้วอ่า o(>x<~ ))o
Sakura_Bloom
#29
ขอบคุณนะคะ อ่านซะเพลินเลย วิวสวยมาก ๆ ค่ะ
อยากไปบ้างจัง

:D:D:D:D
noo_pizza
#30
เที่ยวมันส์ตามโมก้าเพลินเลย....

อยากไป Rocky Mountain......
Arlex
#31
ยังเกาะขอบทู้รอดูอยู่จ้า ชอบคุณโก้บรรยายอะ อ่านแล้วอมยิ้ม ดูเป็นคนอารมณ์ดีจัง อิอิ ชอบคุณ dad ด้วยทำหน้าได้เข้ากับ Trail มากๆ

ขอบคุณคุณโก้สำหรับภาพวิวสวยๆ และคำบรรยายสนุกๆ ขอบคุณไกด์สาวโมก้าและพี่โปจิจ้า น่ารักมากมายแต่ชอบโมก้าตอนใสๆมากกว่าอะ

ไว้จะมาเกาะขอบทู้รอดูตอนจบนะคะ :)
poovsn
#32
อยากไปบ้าง:)
Meesook
#33
มาช้าได้อีกชั้น... เพิ่งจะมาเห็นว่าน้องโมก้าพานั่งเรือไปถึงอลาสก้าแล้ว...

สวยมากๆ สวยจังเลยค่ะ... คุณโก้เขียนสนุกจัง ถ่ายรูปสวยด้วย หยั่งกะหนังสือพาเที่ยว ทำให้อยากไปมั่งเลยอ่า...

มีเดินป่า (รอบทะเลสาบ) ด้วย ถ้าเป็น Meesook นะไม่ต้องห่วง ไม่หลงแน่ๆ เพราะเดินไปสามสี่ก้าว คุณนายก็เดินกลับแล้ว... ไม่สู้อ่า...


เมื่อวันก่อนเพิ่งไปดูหนังเรื่อง The Proposal พระเอกเค้าอยู่ที่ Alaska แล้วเรื่องราว... ก็เกิดขึ้นใน Alaska... ตอนดูหนังก็ว่าตื่นเต้นแล้ว เพราะนึกว่า Alaska เป็นประมาณมีแต่น้ำแข็งๆ พอมาเห็นรูปของคุณโก้ ก็ยิ่งตื่นเต้น น่ารักจัง... ขอบคุณที่เอามารีวิวให้ดู ให้อ่านกันสนุกๆ นะคะ รออ่านตอนจบอยู่น้า...

แล้ว totem นี่คืออะไรเหรอคะ?
peeranutt
#34
เห็นแล้ว น่าไปจังเลยครับ

อยากไปบ้าง 55
titled
#35
ขอบคุณนะครับ
Baam Baam
#36
พี่โก้รูปสวยมากกกก...มากกกกก...เห็นแล้วอยากไปมั่งจัง
สมัคร slotxo
ดูกระทู้ทั้งหมดในชุมชน จาก  Downtown ดูกระทู้ในหมวด ดูกระทู้ในหมวดย่อย
กระทู้แนะนำจากการคัดเลือกอัตโนมัติ
1
2
3