เมื่อวานพึ่งประกาศผลปรากฎว่าได้หมอฟันค่ะ
ก่อนหน้านี้ติดรับตรงของแพทย์ไว้ที่นึงแล้ว
ตอนนี้สับสนมากๆไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรดี
ที่บ้านเชียร์หมอฟันเพราะหนูเป็นผู้หญิง คงเบากว่าที่จะเป็นหมอ
แต่ว่าก็อยากจะช่วยเหลือคนมากกว่า
ผู้ใหญ่บอกว่าตัดสินใจดีๆว่าชอบอะไร
แต่จะรู้ได้ไงว่าชอบอะไรเนี่ย ก็ยังไม่เคยเป็นทั้งคู่เลย
ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ
เข้ามาแสดงความยินดีด้วยนะครับผม
ส่วนเรื่องการเลือกนั้นคงออกความเห็นไม่ได้อะครับ
เอาแบบเราชอบอะครับ ดีทั้ง 2 อย่างเลยครับ
เลือกที่เราอยากเป็นค่ะ ชอบไอเดียที่น้องอยากช่วยเหลือคนมาก อยากให้มีหมอดีๆ อย่างน้องเยอะๆ :D
ขอแสดงความยินดีด้วยคนค่ะ น้องเก่งมากๆเลย
เชียร์ " หมอ " ค่ะ...
ยินดีด้วยค่ะ เก่งมากๆ เลย
สำหรับพี่ๆ ว่างานหมอฟันเหมือนงานศิลปะนะคะ
แต่มันเหมือนงานสกปรกอ้ะค่ะ คิดดูว่าปากคนไข้แต่ละคนที่มาหา
มันไม่น่าดูชมหรอกค่ะ แต่ทำๆ ไปก็ชิน ;-P
เอาเป็นว่า เลือกที่ชอบ ดีกว่าคิดว่าจะสบายในภายหน้า
เพราะไม่ว่าหมอไหนๆ ก็เหมือนงานใช้แรงงานอ้ะค่ะ ;-P
เลือกที่คิดว่าทำแล้วมีความสุขดีกว่าน้า ไม่ว่างานไหนๆ ค่ะ
หมอฟันถ้าอยู่กทม.ดีค่ะ
แต่ถ้าต้องไปอยู่ตจว. ไม่ค่อยwork ยิ่งจังหวัดเล็ก
คนไม่ค่อยมีตัง ส่วนคนรวยก็วิ่งไปทำที่กทม.กันหมด
ที่แม่กลองหมอฟันไม่รวยเหมือนหมออื่นๆอ่ะค่ะ
แล้วก็ใช้แรงงานมากว่าด้วย
เมื่อก่อนเคยผ่าฟันคุด 4ซี่
สงสารหมอมากๆเลยค่ะ
หมอผู้หญิงอ่ะ กว่าจะดึงฟันเราออกมาได้
แทบจะยันกันตกเก้าอี้เลย:D
ดึงกันแบบนี้อยู่4ซี่ หมดแรงเลยค่ะ
เราก็ไม่เจ็บหรอกเพราะฉีดยาชาอยู่
แต่เลือดกรบปากเลยยยยยยย! กึ๊ยยยย!:(
ยินดีด้วยนะคะ เก่งจังเลย ติดตั้งสองที่แน่ะ
พี่ว่าเลือกทางไหนก็ได้ เพราะทั้งสองทางเลือกก็ดีทั้งนั้นค่ะ :)
congratulation ka ^_____^
both of them are very good indeed.
good luck na ja
เข้ามาแสดงความยินดีด้วยอีกคนจ้า เก่งมั่ก ๆ
เลือกสิ่งที่ตัวเองชอบดีที่สุดคะ ลองถามใจตัวเองว่าเรารักที่จะทำแบบไหนมากกว่ากั
เชื่อว่าคนเราเมื่อได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก หรือถนัด มันก็จะทำได้ดี และมีความสุขคะ
มันอยู่ที่เราชอบจริงๆค่ะ ลองคิดว่าอะไรท่เราทำแล้วน่าชอบนะคะ
สำหรับเราที่เราเลือกหมอฟันเพราะอยากเป้นมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าน่าจะชอบ
ซึ่งการจะรู้ว่าเราเหมาะกับอชีพนั้นมั๊ยเนี่ย สำหรับเรานะมันต้องมาเรียนมันถึงรู้ -*-
อ่านแนะแนว มองดูคนอื่น ลองทำไรนิดๆหน่อยๆมันก็ไม่เหมือนมาเรียน
ตอนเราเราแน่วแน่มากว่าไม่เอาหมอก็เลยเลือกหมอฟัน4อันดับเลย (เอนท์แบบเก่า)
เป็นผู้หญิงเรียนได้ทั้งสองแบบค่ะ แล้วหมอฟันงานก็ไม่ได้เบาหรอกค่ะ
เลือกดีๆน้า เอาใจช่วยค่ะ ว่าแต่ติดทันตะม.ไหนคะ ^^
มีลูกสาวเก่งอย่างนี้ พ่อ-แม่ปลื้มตาย.. ฝากแสดงความยินดีกับคุณพ่อ-คุณแม่ด้วยนะคะ
ทุกอย่างมีดี มีร้ายค่ะ จะเล่าให้ฟัง แล้วเลือกที่เหมาะสมกับตัวเองนะคะ
1..การเรียน การทำงาน หมอโหดกว่าหมอฟันแน่นอน
ที่สำคัญต้องอยู่เวร และเมืองไทยใช้งานหมอโหดมาก ต้องทำงานติดต่อกัน 36 ชั่วโมงรวด แม้วันหยุดก็ต้อง round word การลางานแต่ละครั้งต้องเคลียร์งานเหล่านี้กับเพื่อนให้ได้ ไม่งั้นถูกตราหน้าตลอดกาล
หมอฟันไม่ต้องอยู่เวร ไม่มีผู้ป่วยใน
2..งานของหมอฟันอยู่ในวงแคบกว่า ทางเลือกมีน้อย
การทำงานที่เป็นdisease จริงๆน้อย ทางเลือกอื่นๆ เช่น จัดฟัน ฟันปลอม ขึ้นอย่กับความพึงพอใจของลูกค้า ถ้าเป็นคนที่เจรจาไม่เก่งจะรุ่งยากมาก ที่สำคัญขณะทำงานลูกค้าพูดไม่ได้ด้วย
งานหมอเป็นการรักษามีเยอะกว่า และได้พูดคุยตลอดเวลา
3..หมอฟันกะหมอผ่าตัด อายุการใช้งานสั้น พอเริ่มสายตายาวการงานก็ไม่เนียนเหมือนหนุ่ม-สาวแล้ว ขณะที่หมอเด็ก -อายุรกรรม ยิ่งแก่ยิ่งเขี้ยว
การมีงานทำตอนแก่สำคัญนะคะ...คนแก่ขอเตือน...
หนทางในวิชาชีพนี้อีกยาวไกลค่ะ การสอบได้เป็นเพียงจุดเริ่มนะคะ รับรองการเรียน ความขยันก่อน entrance จิ๊บๆ แต่เครียดน้อยกว่าเพราะไม่ต้องแข่งกับคนอื่นแล้ว
ต่างๆนาๆ ดังกล่าวมาแล้ว เจ้าลูกชายป้าเองก็เลือกเรียนหมอค่ะ....ทุกวันนี้ก็ยัง happy ดี ยังไม่กลับมากัด พ่อ-แม่ ว่าชี้ทางลำบาก
การช่วยเหลือคนและสังคม ไม่ว่าอาชีพไหนๆ ก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแต่ต่างบทบาทเท่านั้น อย่าไปมัวเปรียบเทียบกับใครเขา ดูตัวเองพัฒนาตัวเองดีกว่าค่ะ
ยินดีด้วยนะคะ
อันดับแรกเลือกทันตะจุฬา แต่ไม่ติดค่ะ เสียดายหลุดไป1.1คะแนน T_T
เลยได้ ทันตะมศวค่ะ เสียดายที่คะแนนถึงมหิดลด้วยแต่ว่าไม่ได้เลือกไว้
ส่วนตัวไม่ซีเรียสกับมหาลัยอยู่แล้ว ก็เลยไม่คิดมากค่ะ
คิดว่าที่ไหนก็น่าจะเหมือนกัน :)
ขอบคุณพี่ๆทุกคนมากๆนะคะ
อ้าววว..น่าจะเลือกมหิดล ตอนพี่พี่เลือกจุฬาอันดับ1มหิดลอันสองแล้วก็ตามด้วยมศว.
แล้วคะแนนก็พลาดจุฬาไป2คะแนนกว่าๆ -*- จำได้ว่าร้องไห้ไป2วัน ฮ่าๆ
จริงมศวก็ดีนะ พอปีสูงเรียนตรงอโศกเดินทางก็ง่าย มีพี่เรียนอยู่เหมือนกัน
เรียนที่ไหนก็เมือนกันแหละค่ะ ^^
ถ้าเป็นเราคงเลือกหมอ แล้วไปต่อด้านผิวหนังเฉพาะทางค่ะ อันนี้ความชอบส่วนตัวสุดๆ ^^
แต่ไม่ว่าจะเป็นหมอ หรือทันตแพทย์ก็ได้ช่วยเหลือคนด้วยกันทั้งนั้นนะคะ
เอาใจช่วยค่ะ
Originally Posted by tai-foon
มีลูกสาวเก่งอย่างนี้ พ่อ-แม่ปลื้มตาย.. ฝากแสดงความยินดีกับคุณพ่อ-คุณแม่ด้วยนะคะ
ทุกอย่างมีดี มีร้ายค่ะ จะเล่าให้ฟัง แล้วเลือกที่เหมาะสมกับตัวเองนะคะ
1..การเรียน การทำงาน หมอโหดกว่าหมอฟันแน่นอน
ที่สำคัญต้องอยู่เวร และเมืองไทยใช้งานหมอโหดมาก ต้องทำงานติดต่อกัน 36 ชั่วโมงรวด แม้วันหยุดก็ต้อง round word การลางานแต่ละครั้งต้องเคลียร์งานเหล่านี้กับเพื่อนให้ได้ ไม่งั้นถูกตราหน้าตลอดกาล
หมอฟันไม่ต้องอยู่เวร ไม่มีผู้ป่วยใน
2..งานของหมอฟันอยู่ในวงแคบกว่า ทางเลือกมีน้อย
การทำงานที่เป็นdisease จริงๆน้อย ทางเลือกอื่นๆ เช่น จัดฟัน ฟันปลอม ขึ้นอย่กับความพึงพอใจของลูกค้า ถ้าเป็นคนที่เจรจาไม่เก่งจะรุ่งยากมาก ที่สำคัญขณะทำงานลูกค้าพูดไม่ได้ด้วย
งานหมอเป็นการรักษามีเยอะกว่า และได้พูดคุยตลอดเวลา
3..หมอฟันกะหมอผ่าตัด อายุการใช้งานสั้น พอเริ่มสายตายาวการงานก็ไม่เนียนเหมือนหนุ่ม-สาวแล้ว ขณะที่หมอเด็ก -อายุรกรรม ยิ่งแก่ยิ่งเขี้ยว
การมีงานทำตอนแก่สำคัญนะคะ...คนแก่ขอเตือน...
หนทางในวิชาชีพนี้อีกยาวไกลค่ะ การสอบได้เป็นเพียงจุดเริ่มนะคะ รับรองการเรียน ความขยันก่อน entrance จิ๊บๆ แต่เครียดน้อยกว่าเพราะไม่ต้องแข่งกับคนอื่นแล้ว
ต่างๆนาๆ ดังกล่าวมาแล้ว เจ้าลูกชายป้าเองก็เลือกเรียนหมอค่ะ....ทุกวันนี้ก็ยัง happy ดี ยังไม่กลับมากัด พ่อ-แม่ ว่าชี้ทางลำบาก
การช่วยเหลือคนและสังคม ไม่ว่าอาชีพไหนๆ ก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแต่ต่างบทบาทเท่านั้น อย่าไปมัวเปรียบเทียบกับใครเขา ดูตัวเองพัฒนาตัวเองดีกว่าค่ะ
ยินดีด้วยนะคะ
ความเห็นนี้ พี่ว่าตอบโจทย์น้องได้ครบถ้วนค่ะ
พี่มาเพิ่มเติมว่า
สิ่งนึงที่การเป็นแพทย์นั้นหนักที่สุด ไม่ใช่เรื่องเรียน(ซึ่งก็หนักมากพออยู่แล้ว) แต่เป็นเรื่องเวลาการทำงาน เพราะเป็นแพทย์นั้น "ต้องอยู่เวร" ค่ะ ซึ่งมันไม่ธรรมดาเลยกับชั่วโมงการทำงานเช่นนี้ แรกๆที่ยังโสด ยังจบใหม่ก็อยู่ได้ แต่พอนานๆเข้าจะทราบว่า มันทำลายสุขภาพอยู่มาก
คนที่เรียนแพทย์นั้นโอกาสจะเรียนต่อเฉพาะทางที่เราเลือกนั้น มีน้อย มากๆๆๆ ถ้าน้องจะอยากเป้นสิ งที่เค้าชอบเรียนกัน เช่น ผิวหนัง(ไม่ต้องอยู่เวร การแข่งขันสูงมาก) จักษุ ศัลยแพทย์พลาสติก รังสีแพทย์ หรือตอนนี้แม้กระทั่งวิสัญญีแพทย์ ซึ่งก็ต้องแก่งแย่งกันแทบตาย และการรับสมัครต่อแพทย์เฉพาะทางสาขาเหล่านี้ดังที่กล่าวก็ต้องใช้กำลังภายในเข้าพอควร(pull the string !)
ส่วนตัวพี่ พี่มีเพื่อนเป็น ทันตะ แม้จะเรียนต่อเฉพาะทางยากมากกกกเช่นกัน แต่ก็มีโอกาสให้คนที่พยายามพอเข้าเรียนได้ เพราะเขาใช้วิธีสอบกันค่ะ ซึ่งพี่คิดว่ามันแฟร์มากกว่า
ทันตะ พี่คิดว่าการเรียนคงยากไม่แพ้แพทย์ และ ตอนทำงานก็เหนื่อยเช่นกัน แต่อาจจะมีข้อดีอีกข้อ คือ ไม่ต้องอยู่เวรกลางคืน
ยังงัยรอคุณ Joywila มาช่วยตอบเรื่องทันตะ นะคะ
แสดงความยินดีด้วยนะคะ เก่งมากๆ เลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คงภูมิใจในตัวลูกสาวมากเลยคะ :D หมอไหนดีกว่ากันนี่พี่คงช่วยเลือกไม่ได้เพราะไม่เคยเป็นหมอแต่ยังไงก็ดีใจที่น้องมีความตั้งใจที่ดีนะคะ เป็นคุณหมอที่น่ารักในอนาคต แค่คิดอยากช่วยเหลือคนก็น่าชื่นใจแล้วค่า ขอให้เลือกในสิ่งที่อยากทำ แล้วก็ทำให้ดีที่สุดนะจ๊ะ :D
แสดงความยินดีด้วยค่ะ ส่วนตัวมี พี่ที่เป็น ทั้งหมอ และ หมอฟัน แต่ยังไง จบออกมาก้อได้มาช่วยเหลือคนเหมือนกัน ดีใจด้วยค่ะ :)
ดีใจด้วยนะคะ
เก่งมากเลย
ยังก้เลือกตามที่ตัวเองชอบ และอยากทำละกันค่ะ
เพราะถ้าชอบแล้วมันก้จะทำได้ดีอ่ะคะ
ความจริงแล้วเราว่ามันก้น่าจะเรียนยากทั้งคู่นะคะ
ยังไงก้ขอให้ตั้งใจเรียนนะคะ
ไม่ว่าจะเป็นหมออะไร ก้ช่วยเหลือคนได้เหมือนกันค่ะ
^^
เก่งจังค่ะ แสดงความยินดีด้วยนะคะ
ภูมิใจแทนพ่อแม่น้องจังค่ะ
เลือกอย่างที่ชอบ ทำอย่างที่รักค่ะ...
ตอนเรียน dent ก็ไม่เบานักหรอก
ส่วนใหญ่เสียเวลาทำ lab แต่ง wax เป็นส่วนใหญ่
บางคืนทำอยู่ทั้งคืน ทำแล้วเสีย.. ทำแล้วเสีย .. ต้องทำใหม่ :(
แต่เท่าที่ถามเพื่อนหมอมา เรียนหนักกว่ามากกกกกกกก
ตัวเองเป็นหมอฟัน รับราชการอยู่ มา 10 ปีแล้ว
ในมุมมองของพี่
มีความรู้สึกว่า ..........
งานทำฟัน ใช้เวลามาก ทำ 1 คน
หมอตรวจได้ 4-5 คน
ระหว่างอยู่เวร
หมอพักทานข้าวได้
แต่หมอฟัน ต้องทำงานข้าง unit ตลอด
ทำคนไข้เสร็จ ก็หมดเวลา ต้องรีบเก็บของกลับ คลินิกจะปิดแล้ว
[SIZE="5"]สุดท้าย....ในระบบราชการ
หมอฟัน..ก็ยังเป็นลูกน้องของหมออยู่ดี
ถ้าเรียนหมอได้
เป็นหมอเถอะน้อง
ขอแสดงความยินดีกับคนเก่งค่า เลือกในสิ่งที่ชอบนะคะจะได้มีความสุขในการเรียนค่ะ ^^
ลองถามใจตัวเองดีสุดค่า
แต่ถ้าเป็นเราเราเลือกหมอนะ
หมอฟัน แบบวันๆนั่งจ้องแต่ฟันอ่ะค่ะ
Originally Posted by lodent006
สุดท้าย....ในระบบราชการหมอฟัน..ก็ยังเป็นลูกน้องของหมออยู่ดี ถ้าเรียนหมอได้
เป็นหมอเถอะน้อง
อ่านละแอบเศร้าเล็กน้อยไม่จริงหรอก สมัยวิลาไปใช้ทุน(รับราชการ) ไม่มีแพทย์ท่านไหน(ยกเว้น ผอ.)กล้าสั่งข้าพเจ้าเลยก็ลองสั่งดูสิครับ คงได้มีมวยวิลาว่า " มั น อ ยู่ ที่ ก า ร ว า ง ตั ว "ถ้าเราวางตัวดี เชื่อว่าแพทย์รุ่นใหม่ ๆ ก็ให้เกียรติเราดีนะ ถ้าพูดถึงจำนวนคนไข้ต่อเวลาที่เท่ากันแน่นอนหมอ ตรวจได้มากกว่าเพราะ nature ของงานไม่เหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึง income วิลาก็ว่ามันขึ้นอยู่กับสายงาน/ความถนัดแพทย์ specialist บางสาขาก็อาจทำรายได้ถล่มทลายกว่าหมอฟันมากมายและหมอฟัน specialist บางสาขาก็ทำรายได้มากกว่าแพทย์บางท่านมากมายและแม้แต่หมอ/หมอฟัน ในสาขาเดียวกันเทียบกันเองฝีมือ/จน.คนไข้ /income ก็ต่างกันถ้าเถียงกันเรื่องนี้จะเหมือน " ไก่กับไข่อะไรจะเกิดก่อนกัน " เสียเวลาเปล่าจ้า จะรู้ก็แต่ไข่ เอ้ย...หมอฟันที่คลินิกวิลาทำอยู่ เอาแบบรุ่นน้องจบใหม่ๆ ฝีมือก๊องแก๊ง ก๊อกก๋อยทำรายได้กันต่ำสุดก็ 5ปลาย-6 หลัก/เดือน ขึ้นกับฝีมือปรมจารย์เก๋า ๆ หน่อยก็ 7 หลัก/เดือน ไม่ได้แนะนำให้มากอบโกยนะ ทุกอย่างอยู่ภายใต้มาตรฐานวิชาชีพ + จริยธรรมจ้า
ถ้าตัวเลขข้างบนโอเคสำหรับชีวิตน้องละ คิดว่าตัวเองสามารถอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงได้ น้องจขกท.ก็ไม่ต้องเสียใจ หรือลังเลอยากย้อนเวลากลับไปทำคะแนน ent ให้ติดหมออีกแล้วพี่เห็นเพื่อนหลายคนเรียนทันตะปี 2 แล้วซิ่วออกไปเรียนแพทย์ซะงั้น(เสียดายแทน)จริงอยู่แพทย์หลายท่าน อาจทำได้มากกว่ามาก แต่ความเครียด + ความรับผิดชอบก็คงสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว (น้องจะเอาแบบนั้นรือ???)ดูพี่สิ ชีวิตไร้สาระได้อีก sbn 3 เวลาหลังอาหาร....และก่อนนอน 555+
หมอฟัน ดีกว่าค่ะ ไม่น่าจะเครียดกว่า แถมน่ารักดีด้วย
หมอคน เครียดน่าดูค่ะ
หมอโดนฟ้องมากกว่าหมอฟันเยอะเดี๋ยวนี้อะไรๆก็ฟ้องแหลก
ซึ่งโอกาสผิดพลาดมีทุกคน พอมีเรื่องฟ้องร้องขึ้นมากว่าจะตัดสิน
ได้ว่าไม่ผิด ชื่อเสียงก็เสียไปก่อนแล้วกู้กลับมาลำบาก
หมอบางคนต้องเปลี่ยนอาชีพไปเลยก็มี เห็นด้วยกะคุณหมอจอยค่ะ
ว่าหมอฟันมีเวลาเป็นของตัวเองมากกว่าโดยเฉพาะผู้หญิงนะ
ต้องมีเวลาสวยงามมั่ง เครียดมากแก่เร็ว มีลูกก็ต้องรบกะลูกอีก
แล้วถ้ารับราชการนะเงินเดือนไม่พอซื้อกระเป๋านะค่ะต้องมาทำพิเศษ
ข้างนอก อยู่เวร รพ.แล้วยังต้องมาอยู่เวรข้างนอกอีก
เรื่องรายได้เทียบยากค่ะ เรียนมาเหมือนกันแต่่ทำได้ไม่เหมือน
กันเค้าถึงเรียกประกอบโรคศิลปไงค่ะ
แต่ทั้งหมดนี่สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจเอาเองดูๆจากข้อมูล
ที่หลายๆคนให้นะค่ะ แต่เชื่อว่าไม่ว่าหนูจะเลือกอะไร
หนูก็จะทำได้ดีค่ะดีใจด้วยกับทั้งหนูและคุณพ่อคุณแม่ค่ะ
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงเลือกเรียนทันตะค่ะ เพราะว่าลักษณะงานของแพทย์กว้างมาก ต้องอัพเดทตัวเองตลอด ถ้าไม่อ่านหนังสือก็กลายเป็นหมอรุ่นเก่า แถมยังมีความรับผิดชอบที่มากเป็นเงาตามตัว พออายุมากขึ้น มีครอบครัว น้องก็จะรู้ว่าอุดมการณ์กับครอบครัวบางทีมันไปด้วยกันยาก
แต่ยังไงก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเองเป็นหลักค่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ โชคดีนะคะ
ต้องลองคุยกับคนมีประสบการณ์ เป็นหมอ หรือหมอฟันจริงๆอ่ะ ค่ะ เพื่อเราเคยเรียนหมอฟันปีแรกเค้าก็ค้นพบว่าไม่ชอบเท่าไร จึงเรียนหมอแทน (เอนใหม่)
หมอฟันมีข้อดีคือไม่ต้องอยู่เวร ถ้าเป็นผู้หญิงเปิดคลินิคเองเลี้ยงลูกทำงานไปด้วยสบายมากๆ ในความคิดเราน่ะ แต่ก็ต้องรักในการดูฟันคนไข้ แงะๆขูดๆถอนๆ ซึงก็เป็นศิลปะอย่างนึงน่ะค่ะ
เป็นคุณหมอ ก็จะทางเลือกเยอะหน่อย ตอนต่อแพทย์เฉพาะทางน่ะค่ะ เบาหน่อยก็หมอผิวหนัง อะไรประมาณนี้ค่ะ
เก่งมาก เก่งสุดๆ เลย ดีใจด้วยนะครับ เลือกอะไรก็ได้ที่เราชอบ ไม่มีคำว่าผิดพลาดแน่นอนเมื่อเราตัดสินใจไปแล้วตั้งใจทำให้ดีที่สุดนะครับ (คุณพ่อ คุณแม่คงปลื้มน้ำตาไหลเลยนะครับเนี่ย มีลูกเก่งๆแบบนี้)
Originally Posted by joywila
อ่านละแอบเศร้าเล็กน้อยไม่จริงหรอก สมัยวิลาไปใช้ทุน(รับราชการ) ไม่มีแพทย์ท่านไหน(ยกเว้น ผอ.)กล้าสั่งข้าพเจ้าเลยก็ลองสั่งดูสิครับ คงได้มีมวยวิลาว่า " มั น อ ยู่ ที่ ก า ร ว า ง ตั ว "ถ้าเราวางตัวดี เชื่อว่าแพทย์รุ่นใหม่ ๆ ก็ให้เกียรติเราดีนะ ถ้าพูดถึงจำนวนคนไข้ต่อเวลาที่เท่ากันแน่นอนหมอ ตรวจได้มากกว่าเพราะ nature ของงานไม่เหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึง income วิลาก็ว่ามันขึ้นอยู่กับสายงาน/ความถนัดแพทย์ specialist บางสาขาก็อาจทำรายได้ถล่มทลายกว่าหมอฟันมากมายและหมอฟัน specialist บางสาขาก็ทำรายได้มากกว่าแพทย์บางท่านมากมายและแม้แต่หมอ/หมอฟัน ในสาขาเดียวกันเทียบกันเองฝีมือ/จน.คนไข้ /income ก็ต่างกันถ้าเถียงกันเรื่องนี้จะเหมือน " ไก่กับไข่อะไรจะเกิดก่อนกัน " เสียเวลาเปล่าจ้า จะรู้ก็แต่ไข่ เอ้ย...หมอฟันที่คลินิกวิลาทำอยู่ เอาแบบรุ่นน้องจบใหม่ๆ ฝีมือก๊องแก๊ง ก๊อกก๋อยทำรายได้กันต่ำสุดก็ 5ปลาย-6 หลัก/เดือน ขึ้นกับฝีมือปรมจารย์เก๋า ๆ หน่อยก็ 7 หลัก/เดือน ไม่ได้แนะนำให้มากอบโกยนะ ทุกอย่างอยู่ภายใต้มาตรฐานวิชาชีพ + จริยธรรมจ้า
ถ้าตัวเลขข้างบนโอเคสำหรับชีวิตน้องละ คิดว่าตัวเองสามารถอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงได้ น้องจขกท.ก็ไม่ต้องเสียใจ หรือลังเลอยากย้อนเวลากลับไปทำคะแนน ent ให้ติดหมออีกแล้วพี่เห็นเพื่อนหลายคนเรียนทันตะปี 2 แล้วซิ่วออกไปเรียนแพทย์ซะงั้น(เสียดายแทน)จริงอยู่แพทย์หลายท่าน อาจทำได้มากกว่ามาก แต่ความเครียด + ความรับผิดชอบก็คงสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว (น้องจะเอาแบบนั้นรือ???)ดูพี่สิ ชีวิตไร้สาระได้อีก sbn 3 เวลาหลังอาหาร....และก่อนนอน 555+ เห็นด้วยค่ะ ชอบอะไรเอาอันนั้นแต่เรื่องรายได้ขึ้นกับฝีมือทั้งนั้น
อนาคตของเราเอง เลือกสิ่งที่เราอยากเป็นน๊า...
ถ้าเอาเป้าหมายที่จะช่วยคนนะ ไม่ว่าจะเป็นอะไรเราก็ช่วยคนได้เหมือนกันแหละ ถ้าเรามีใจอยากช่วยเค้าจริงๆหน่ะ
ช้าไปไหมคะ อยากบอกว่า เลือกอันไหนก็ตาม พยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ เพราะทั้งสองอาชีพช่วยเหลือคนทั้งคู่ เป็นกำลังใจให้ค่ะ:)