บุญทานของเราสมบูรณ์ไหม? คราวนี้เราก็มาตรวจสอบตัวเองว่า ทานของเราได้ผลสมบูรณ์ไหม เริ่มตั้งแต่ด้านจิตใจว่าเจตนาของเราดีไหม เจตนานั้นท่านยังแยกออกไปอีกเป็น 3 คือ ๑. บุพเจตนาเจตนาก่อนให้ คือตั้งแต่ตอนแรก เริ่มต้นก็ตั้งใจดีมีความเลื่อมใส จิตใจเบิกบาน และตั้งใจจริง แข็งแรงมีศรัทธมาก.. ๒. มุญจนเจตนาขณะถวายก็จริงใจจริงจัง ตั้งใจทำด้วยความเบิกบานผ่องใส มีปัญญา รู้เข้าใจ ๓. อปราปรเจตนา ถวายไปแล้ว หลังจากนั้น ระลึกขึ้นเมื่อไรจิตใจก็เอิบอิ่มผ่องใส ว่าที่เราทำไปนี้ดีแล้ว ทานนั้นเกิดผลเป็นประโยน์ เช่น ได้ถวายบำรุงพระศาสนา พระสงฆ์จะได้มีกำลัง แล้วท่านก็จะได้ปฏิบัติศาสนกิจ ช่วยให้พระศาสนาเจริญงอกงามมั่นคงเป็นปัจจัยให้สังคมของเราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข นึกขึ้นมาเมื่อไรก็เอิบอิ่มปลื้มใจ ท่านใช้คำว่า "อนุสรณ์ด้วยโสมนัส" ถ้าโยมอนุสรณ์ด้วยโสมนัสทุกครั้งหลังจากที่ทำบุญไปแล้วโยมก็ได้บุญทุกครั้งที่อนุสรณ์นั่นแหละ คือระลึกขึ้นมาคราวไหนก็ได้บุญเพิ่มคราวนั้น นี่คือเจตนา 3 กาล ซึ่งเป็นเรื่องสำหรับทายก สำหรับปฏิคาหก คือผู้รับ ถ้าเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมต่าง ๆ มาก ก็ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลมาก เพราะจะได้เกิดประโยชน์มาก เช่นพระสงฆ์ เป็นผู้ทรงศีล ทรงไตรสิกขา ท่านก็สามารถทำให้ทานของเราเกิดผลงอกเงยออกไปกว้างขวาง เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ช่วยให้ธรรมแผ่ขยายไปในสังคม ให้ประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุขและดำรงพระศาสนาได้จริง ส่วนไทยธรรม* คือวัตถุที่ถวาย ก็ให้เป็นของบริสุทธิ์ได้มาโดยสุจริตสมควรหรือเหมาะสมแก่ผู้รับ และใช้ได้เป็นประโยชน์ *ไทยธรรม มาจากภาษาบาลีว่า เทยฺยธมฺม แปลว่า สิ่งที่จะพึงให้ หรือของที่ควรให้ ที่มา : "ก้าวไปในบุญ" พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
สร้างบุญญาวาสนาบารมี
หลวงพ่อคำพอง ติสโส
มนุษย์ตกนรกหมกไหม้ เพราะความเบียดเบียน
เพราะความไม่เกรงกลัวต่อบาป
เพราะไม่ละอายต่อบาป
เพราะไม่รู้จักกาลไม่รู้จักเวลา
การเกิดเป็นคนมิใช่เป็นได้ง่าย ๆ
บุญกรรมของมนุษย์แต่งให้มนุษย์เกิด
จึงเป็นกัมมปัจจโย กรรมเป็นผู้ปรุงแต่ง
ให้เป็นหญิงเป็นชาย ขี้ริ้วขี้เหร่ ให้ยากจน และร่ำรวย
วิปากะปัจจโย เมื่อกรรมสร้างแล้ว ให้ผลแล้ว
ทำให้มนุษย์หูหนวกตาบอด
บ้าใบ้เสียจริตอดยากปากแห้ง
ขาดศรัทธา ขาดปัญญา
จะให้ตรัสรู้มรรคผลนิพพานก็ไม่ได้
เพราะนิสัยไม่มี วาสนาไม่มี
จำให้ทุกคนสร้างนิสัย สร้างวาสนา
สร้างปัญญา สร้างบารมี
ดุจการปลูกผลหมากรากไม้
ไม่เป็นหมากเป็นผลในวันนี้ ก็จะเป็นในวันพรุ่งนี้
หรือมะรืนนี้ หรือในวันต่อ ๆ ไป
การสร้างบุญญาวาสนาบารมีก็เหมือนกัน
ไม่บรรลุรู้แจ้งแทงตลอดในวันนี้
ในชาตินี้ก็จะเป็นอุปนิสัยเป็นปัจจัยในชาติหน้าภพต่อ ๆ ไป
___________
ที่มา...โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 006081 โดยคุณ : ต๊ะ
อุณหภูมิของความสุข
อุณหภูมิองศาในชีวิตของเรา..
ก็เปรียบเหมือนอุณหภูมิของอารมณ์ต่าง ๆ...
ที่มีอยู่ในตัวของเรา..
บางครั้งก็สูง...บางครั้งก็ต่ำ..
อุณหภูมิในหัวใจของเราก็เช่นนั้น..
บางครั้งก็สุข..บางครั้งก็ทุกข์..
อุณหภูมิที่มีอยู่ในใจของเรา..
หากเปรียบเทียบกับอุณหภูมิองศาทั่ว ๆ ไป..
จะพบว่า..
อุณหภูมิที่สูง..จะทำให้เรารู้สึกร้อน..
อุณหภูมิที่ต่ำ..จะทำให้เรารู้สึกเย็น..
หากอุณหภูมิในหัวใจเรา..
ประกอบไปด้วย..
อุณหภูมิของความโลภสูง...
ก็จะทำให้ไฟคือความอยาก..เกิดขึ้นในหัวใจเรา..
ถ้าอุณหภูมิของความโกรธสูง..
ก็จะทำให้ไฟคือความโกรธ..เผาร้อนในหัวใจเรา..
และถ้าอุณหภูมิของความหลงสูง..
ก็จะทำให้ไฟคือความหลงผิด..ติดอยู่ในหัวใจเรา..
แต่ตรงกันข้าม..
หากอุณหภูมิในหัวใจของเรา..
ประกอบไปด้วย..
ความโลภ..ความโกรธ..ความหลง..
ต่ำลง..หรือลดน้อยลง..
ก็จะทำให้อุณหภูมิในหัวใจของเราเย็นลง..
อุณหภูมิของความสุขก็เช่นเดียวกัน..
หากเราใช้ธรรมะควบคุม..
ก็จะทำให้อุณหภูมิความทุกข์ของเราลดลง..
หากเกิดปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต..
เราต้องรู้จักที่ปรับเปลี่ยนอุณหภูมิองศาในหัวใจของเรา..
ให้ได้ระดับปกติกึ่งกลาง..แบบพอดี ๆ..
คือไม่ให้อุณหภูมิสูงจนเกินไป..
จนทำให้ใจรู้สึกร้อนรน..เป็นทุกข์..
หรือไม่ให้อุณหภูมิต่ำจนเกินไป..
จนทำให้ใจรู้สึกหนาวเหน็บ..เจ็บช้ำใจ..
แต่จงให้พยายามทำใจ..
ให้อยู่ระดับอุณหภูมิองศาปกติ..กึ่งกลาง..
และรู้จักวิธีทำใจให้เตรียมรับอารมณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น..
รู้เท่าทันอารมณ์..อย่างเข้าใจ..
บทความ...โดย..ชายน้อย..
[SIZE="4"]ขอบคุณค่ะ [SIZE="7"]คุณลุง
[SIZE="2"]อนุโมทนาด้วยนะคะ
บทความนี้ดีอีกแล้ว ชอบค่ะ
อนุโมทนาด้วยนะคะ
วันนี้อ่านยากนิดหน่อยแฮะ... แต่ก็ขอบคุณนะคะ...