ใช้จั่วหัวว่า Singapore at a glance เพราะว่าได้มีโอกาสไปสิงคโปร์มาประมาณเกือบ 10 ครั้ง แต่ไม่เคยอยู่อาศัยเป็นเวลานานๆ แต่ละทริปที่ไปก็ไม่เกิน 3 วัน ใช้คำนี้น่าจะเหมาะ ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นมุมมองของตัวเราเองล้วนๆ ไม่ได้ไปลอกใครเค้ามาค่ะ ^.^
ที่เห็นเป็นอย่างแรกที่ชัดเจนก็คือว่า ชาวสิงคโปร์เกือบทุกคนเสพติด technology ค่ะ เห็นตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งคนแก่ สายตาจับจ้องที่มือถือ iPad, iPhone, Blackberry ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะ Lifestyle เค้าต้องนั่งแต่รถไฟเลยไม่รู้จะทำไรระหว่างรอหรือยืนบนรถ แต่เค้าก็เป็นประเทศที่สะอาดและมีระเบียบ เวลาขึ้นบันไดเลื่อนตามสถานี Interchange ต่างๆ ให้ชิดซ้ายค่ะ เพราะว่าด้านขวาเว้นไว้สำหรับคนที่รีบต้องเดินขึ้นไปไม่หยุด ถ้าจะยืนนิ่งๆ บนบันไดเลื่อนให้ชิดซ้าย อาจจะตรงข้ามกับบ้านเรา เวลาข้ามสะพานลอยให้ชิดขวา แต่ที่สิงคโปร์ทุกอย่างให้ชิดซ้ายหมดค่ะ
มาดูเรื่องแฟชั่นกันก่อนเลย.... ก่อนหน้านี้จะมีโอกาสไปสิงคโปร์เฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ สิ่งที่เห็นจนชินตาคือสาวๆ สิงคโปร์ชอบใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น รองเท้าแตะหรือรองเท้าไม่มีส้น ที่เรียกว่า flat บางคนก็ใส่เสื้อยืดแขนสั้น เสื้อกล้าม ไม่ก็เสื้อที่เป็นผ้าพริ้วๆ แล้วแต่สไตล์ มองเผินๆ ก็เหมือนสก๊อยบ้านเราเหมือนกัน เพราะว่าสาวๆ ที่โน่นเค้าจะรูปร่างบาง ผอมเพรียวซะส่วนมาก อาจมีบางคนที่พอจะมีเนื้อมีหนังขึ้นมาหน่อยก็จะอายุมากแล้ว ไม่ก็เป็นคนอินเดียหรือมาเลย์ ซึ่งอาศัยปะปนกันอยู่ประมาณ 3 เชื้อชาติหลักๆ
ช่วงหลังได้มีโอกาสไปในวันธรรมดา ก็จะเจอสาวๆ ออฟฟิศแต่งตัวกันแปลกตาไปอีกแบบ ต้องยอมรับว่าสาวๆ เค้าทันสมัย แต่งตัวตามแฟชั่น เหมือนแถวสยามสแควร์บ้านเรา กล้าแต่งมากกว่าบ้านเราตรงที่เค้าไม่กลัวโป๊ค่ะ ไม่ต้องแปลกใจที่เห็นเค้าแต่งตัวกันเว้าหน้าเว้าหลังกันซะเฮ้อออ (แต่สาวที่โน่นไม่สวยเท่าบ้านเราแน่นอนค่ะ)
เป็นที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ เวลาเห็นที่เค้าเดินกันเป็นคู่ๆ ในห้าง หรือที่สาธารณะอื่นๆ ชาวสิงคโปร์ค่อนข้างจะไม่อายถ้าจะกอด จุ๊บ กันในที่สาธารณะ แต่ไม่ถึงขนาดว่าจูบกันอย่างดูดดื่มเหมือนฝรั่งเค้านะคะ เรียกได้ว่ารับวัฒนธรรมตะวันตกไว้เยอะเหมือนกัน
^ จากรูปข้างบนจะเห็นว่าเค้าแต่งตัวกันไม่หลุดเทรนด์ค่ะ ชายกระโปรงกับรองเท้าสีเข้ากันได้ดี และที่สำคัญเค้าใช้แบรนด์เนมกันค่ะ ค่าครองชีพที่นี่สูงกว่าเมืองไทย ค่าตอบแทนจากการทำงานก็น่าจะสูงกว่า เรียกได้ว่ามีกำลังซื้อค่ะ ใครๆ ก็หิ้ว Louis Vuitton, Mulberry หรือแบรนด์ดังอื่นๆ อย่างแบรนด์ local ของเค้าที่เราบินไปหิ้วๆ กันมาก็มี Charles & Keith, Pedro ค่ะ แต่ก็มีเด็กๆ เหมือนกันที่หิ้วกระเป๋าจากจีนซึ่งมีเป็นส่วนน้อยค่ะ (อันนี้เราไปย่าน Orchard อ่ะ ย่านอื่นๆ ก็คล้ายๆ กะบ้านเรา)
ในเรื่องของแฟชั่น แบรนด์หลายแบรนด์ที่ไม่มีในเมืองไทยก็หาได้ในสิงคโปร์ค่ะ Sephora ก็เป็นอีก shop นึงที่มีในสิงคโปร์ ไม่ต้องสั่งจากอเมริกาแล้ว แต่ราคาจะแพงกว่าประมาณ 25-30% ถ้าซื้อบ่อยๆ ก็ทำบัตรสมาชิกสะสมแต้มได้
สำหรับ Highlight ที่พลาดไม่ได้เวลาไป shopping ที่สิงคโปร์ ก็ต้องเป็นแบรนด์ Charles & Keith ค่ะ ใครๆ ไปก็เห็นถือถุงกลับมากันทุกคน
อีกหนึ่ง Local Brand ของที่นี่ที่มาคู่กับ Charles & Keith ก็คือ Pedro ค่ะ เดิมทีนั้น Pedro จะผลิตเฉพาะรองเท้าผู้ชายที่มาคู่กับ Charles & Keith ที่ผลิตรองเท้าผู้หญิง ทั้งสองแบรนด์อยู่ในบริษัทในเครือกัน ต่อมา Pedro เพิ่มไลน์ด้านรองเท้าผู้หญิงขึ้นมาบ้าง รวมทั้งกระเป๋าทั้งหญิงและชาย ถึงแม้ว่าแบบจะไม่มากเท่ากับ Charles & Keith แต่ Pedro จะเน้นในเรื่องคุณภาพของสินค้าที่สมราคามากกว่า เพราะฉะนั้น ราคาจะสูงกว่านิดนึงแต่คุณภาพดีกว่าแน่นอน
มีโอกาสได้ไปเยือนห้างอื่น นอกเขต Orchard Road กันบ้าง ก็เลยไปที่สถานี Harbour Front ค่ะ ก็มีห้างอีกเช่นกัน นั่นก็คือ Vivo City (ในสิงคโปร์มีแต่ห้างเต็มไปหมดค่ะ เพราะพื้นที่มีน้อย ทุกตารางนิ้วเลยเหมือนเมืองหลวงไปซะหมดค่ะ ประเทศนี้จะไม่มีบรรยากาศท้องทุ่งเหมือนบ้านเราเลย)
ด้านนอกจะเป็นทางเดินไป Sentosa ได้ค่ะ หรือจะไปทาง Cable Car ก็ได้เช่นเดียวกัน
ตรงนี้จะมองเห็น Sentosa เลยค่ะ
มาที่นี่ มาเจอร้านน่ารักๆ จากอิตาลี เป็นกระเป๋าของใช้กระจุกกระจิกแบรนด์ Camomilla Milano น่ารักมว๊าาากกก แต่ราคาค่อนข้างสูง
คราวนี้มาดูอาหารกันบ้าง อาหารธรรมดาๆ ราคาก็ประมาณร้อยกว่าบาทค่ะ น้ำเปล่าขวดเล็ก ก็ราคาประมาณ 30-40 บาทแล้วค่ะ แพงกว่าบ้านเรา 2 เท่าอ่ะ
ด้านบนเค้าเรียกว่า Laksa ค่ะ คล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยวแกงบ้านเรา อร่อย เมนูโปรดค่ะ
สุดท้ายแล้วค่ะ เมนูนี้เค้าเรียกว่า Chicken Lemon Rice ซึ่งมันก็คือข้าวมันไก่ทอดนั่นเอง มีน้ำซุปให้ด้วยค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฝากกด LIKE ด้วยจ้า
www.facebook.com/miraclenoeleven