หลังจากที่แจกฟรีไปครบ 10 คนแล้ว
กระแสตอบรับดีมาก
มีคนสนใจเข้ามาเรื่อย ๆ
เลยถือโอกาสลดราคาจ้า
ขอลดราคาหัวเชื้อจาก 670 บาท
[SIZE="7"]เหลือ 300 บาทจ้า
รีบติดต่อเข้ามาเลยนะคะ
โอกาสแบบนี้มีไม่นานจ้า
เราได้มีโอกาสเลี้ยงบัวหิมะประมาณเดือนที่แล้ว ได้มาจากญาติ
ตอนแรกก็งง เอามาทำไม เลี้ยงยุ่งยากจัง แต่ก็รับ ๆ มา
หลายคนอาจสงสัยว่า จะเหมือนกับครีมบัวหิมะจากจีนหรือเปล่า ?
จริง ๆ แล้วบัวหิมะธิเบตคือเห็ดชนิดหนึ่งลักษณะจะคล้าย ๆ ดอกกะหล่ำ
เมื่อใส่ลงไปในนม จะไปทำปฎิกริยากับนม และเปลี่ยนนมเป็นโยเกิร์ต
เราว่ากลิ่นมันเปรี้ยว ๆ นะ พอลองดื่มดูระบบขับถ่ายดีมากเลย
เอามาพอกหน้า พอกตัวด้วย ผิวเนียนมาก หุหุ
สนใจติดต่อได้นะคะ
มีจำหน่ายทั้งแบบเป็นหัวเชื้อบัวหิมะในราคา 670 บาท
สำหรับผู้สะดวกเลี้ยงเอง
และสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกจะเลี้ยงเอง
ก็มีแบบนมเป็นขวดเปิดใช้ได้เลยราคา 200 บาท 100 ml.
ผลิตภัณฑ์นี้ไม่แนะนำให้รับประทานนะคะ การรับประทานโยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)นั้น
ต้องรับประทานสดๆหรือรับประทานภายใน ๒๔ ชั่วโมง ถึงจะดี แต่สามารถชิมได้นะคะ
โยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะที่ได้จากบัวหิมะแท้ๆนั้นจะต้องมีรสชาติไม่เหมือนโยเกิร์ตทั่วๆไป
คือจะเปรี้ยวโด่ง ไม่หวาน และมีกลิ่นนมบูดแรงมากกว่าโยเกิร์ตทั่วไป กลิ่นบอกไม่ถูกนะคะ
แต่เป็นกลิ่นที่ได้กลิ่นครั้งเดียวจำได้เลย
ผลิตภัณฑ์จากโยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir) ใช้สำหรับผิวหน้าและผิวกาย ผลัดเซลล์ผิวเก่าพร้อมกระตุ้นเซล,ผิวใหม่
ลดการอุดตันของสิว รูขุมขนเล็กลง พร้อมทั้งช่วยทำให้ผิวแลดูเรียบเนียน ขาวใสขึ้น เมื่อใช้เป็นประจำ
ด้วยกรดแลคติกซึ่งเป็นกรดจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการขจัดสิ่งสกปรกและสารพิษตกค้าง ใต้ผิวอย่างหมดจด
วิธีใช้
เขย่าขวดโยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)ทุกครั้งก่อนใช้ เพื่อเพิ่มความหนึด
สำหรับผิวหน้า
-สามารถใช้พอกหน้าได้เลยโดยไม่ต้องล้างเครื่องสำอางออก ใช้แทนคลีนซิ่งได้เลย ทำให้เรารู้สึกถึงการล้างเครื่องสำอางออกอย่างหมดจด
-ทาทั่วผิวหน้าแล้วทิ้งไว้ ๑๕-๓๐ นาทีถูวนเบาๆ แล้วล้างออกโดยไม่ต้องใช้สบู่หรือครีมล้างหน้าชนิดอื่น
- เช็ดผิวให้แห้ง ทาครีมบำรุงตามชอบ
สำหรับผิวกาย
-ใช้นวด และขัดผิวก่อนอาบน้ำ
- ทาทั่วผิวกายแล้วทิ้งไว้ ๑๕-๓๐ ถูวนเบาๆ นาทีแล้วล้างออก
- เช็ดผิวให้แห้ง ทาเบบี้ออยล์ หรือโลชั่นตามชอบ
ทั้งผิวหน้าและผิวกาย สามารถใช้โยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)ได้ทุกวันเช้า-เย็น
ตามความพึงพอใจ แต่จะใช้สลับกับการพอกหรือขัดแบบอื่นก็ได้
หากใช้โยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)แล้วมีอาการคันยิบๆ แสดงว่าบริเวณนั้นมีสิวหรือรอยลอก
กรดผลไม้ วิตามิน จุลินทรีย์ แบคทีเรียดีที่อยู่ในโยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)กำลังไปทำลาย
พวกแบคทีเรียต่างๆที่ทำให้เกิดสิว สมานผิวให้หายเป็นปรกติ หากสิวหรือรอยลอกหายก็จะไม่เกิดอาการคันอีกนะคะ
สำหรับรอยแผลเที่เกิดจากสิวโดยปรกติจะหายเองใน 16-20 สัปดาห์ แต่การใช้ โยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir) นั้น
จะช่วยให้รอยแผลนั้นจางลงภายใน 3-5 สัปดาห์ ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่ถูกทำลายและช่วยเร่งในการสร้างเซลล์ผิวใหม่ก็จะทำให้หายเร็วขึ้น
ควรทดลองอาการแพ้ โยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)บริเวณท้องแขนก่อนการเริ่มใช้ครั้งแรก
ผู้ที่แพ้กรดผลไม้ AHA ควรลีกเลี่ยงการใช้ค่ะ
หากมีอาการแพ้โยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)ไม่ควรใช้ต่อนะคะ
โยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)หมักโดยใช้หัวเชื้อร่วมกับน้ำนมวัวเท่านั้นจึงทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มี
สารปนเปื้อน สารเคมี สารกันบูด ที่เป็นอันตรายต่อผิว สามารถเก็บไว้ได้ในตู้เย็น(ช่องธรรมดา)ได้นาน ๒ เดือน
และยังใช้ร่วมกับสครัปอื่นได้ด้วยเช่น สครัปถั่วเขียว หรือ สครัปอื่นๆตามชอบ
ในโยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
เช่น ทริปโตเฟน (Tryptophan) แคลเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส มีวิตามิน A, B1, B12, C และวิตามิน K
การจัดส่ง ส่งแบบEMS ไม่ต้องแช่เย็นได้ค่ะ แต่พอได้รับต้องรีบแช่เย็นนาน ๓ ชั่วโมง
แล้วจึงนำมาใช้นะคะ สามารถเก็บได้นานในตู้เย็น ๒ เดือนค่ะ หลังจาก ๒ เดือน ควรทิ้งนะคะ
เพราะเราจะแยกโยเกิร์ตน้ำนมบัวหิมะธิเบต(Kefir)ไม่ออกระหว่าง ของที่เสียแล้วกับไม่เสียนะคะ
ราคาถูกกว่าที่อื่นแน่นอนสบายใจได้
เพราะที่อื่นขายกัน 800 บาทขึ้นไป
ติดต่อได้ทั้งทางข้อความ SBN
เม้นท์ถามได้ เรายินดีตอบทุกคำถาม
และที่อีเมล [email]hand.2.hand@hotmail.com[/email]
สรรพคุณสำหรับรับประทาน
1. สร้างความสมดุลของภูมิต้านทานในร่างกาย
2. ช่วยให้ตับ, ม้ามแข็งแรง
3. ช่วยรักษากระเพาะ และลำไส้
4. ทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ
5. ป้องกันการขยายตัวของมะเร็ง
6. ทำให้ร่างกายเป็นปกติ ลดความเครียด ช่วยบรรเทาความเหนื่อย
7. ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และช่วยลดคอเรสเตอรอล
8. ช่วยละลายนิ่ว
9. สร้างสารปฏิชีวนะในร่างกาย เพื่อช่วยให้การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
10. รักษา ช่วยให้ตับ และระบบการขับถ่ายดีขึ้น
11. ประกอบด้วยสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ
คุณภาพของนมเปรี้ยว (บัวหิมะ)
pH = 3.7
ความเป็นกรด (% กรดแลคติก) = 1.6%
Reducing sugar (แลคโตส กูลโครส หรือ กาแลคโตส) = 1.02%
โปรตีน = 3.2%
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
ใช้นมสดรสจืด 1 กล่อง ประมาณ 250 c.c (8 1/2 ออนซ์) ไม่ต้องแช่ตู้เย็น
1.แช่บัวหิมะไว้ในนมสด 250 c.c นานประมาณ 24 ชั่วโมง
บัวหิมะจะเปลี่ยนนมสดให้เป็นโยเกิร์ต
2.ใช้กระชอนกรองน้ำนมนั้นมาดื่ม (ควรดื่มทันที ไม่ควรตั้งทิ้งไว้นาน) ห้ามใช้กระชอนโลหะเด็ดขาด
หากหากระชอนพลาสติกไม่ได้ให้ใช้ตาข่ายช้อนปลาแทน
3.ดื่มก่อนนอนขณะท้องว่าง โดย ไม่ดื่มรวมกับเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ
ให้ดื่มติดต่อกันนาน 20 วัน แล้วให้หยุดพัก 10 วัน
4.ล้างบัวหิมะด้วยน้ำสะอาดเบาๆ จนสะอาด (หากจำเป็นอาจใช้มือสัมผัสเบาๆได้)
แล้วเทคืนสู่ภาชนะเดิม แช่ด้วยนมสดใหม่ 250 c.c ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง
5.ระหว่างพัก 10 วัน ให้ล้างบัวหิมะทุกคืน เติมนมสดรสจืดฯ ทุกครั้ง
6.ให้เลี้ยงบัวหิมะในภาชนะแก้ว หรือพลาสติกเท่านั้น ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะทุกชนิด
เก็บในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ ห้ามเก็บในอุณหภูมิที่เย็นจัด เพราะนมจะมีรสเปรี้ยวมาก
7.บัวหิมะจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในเวลา 18 วัน
(ประมาณที่พอเหมาะคือ สองช้อนครึ่ง) เอาผ้าบางปิดฝากันฝุ่นแมลงก็ได้
- ต้องเปลี่ยนนมทุกวัน เพราะ ถ้าไม่เปลี่ยนความเปรี้ยวของนม
มันจะไปกัดตัวมันได้ใช้นม1 กล่องต่อการเปลี่ยนนม 1 ครั้ง
ตัวบัวหิมะกินได้ ถ้ามันเยอะเกินไป แต่ถ้าจะให้ดี อย่ากินเลยมันโตยาก ถ้าบัวหิมะตาย
นมจะไม่ค่อยเปลี่ยนสภาพ คือไม่ค่อยหนืด ทั้งที่มีปริมาณมาก
และตัวบัวหิมะจะแข็งๆ ถ้าเคยกินจะรู้ว่านมที่ได้จะไม่เหมือนเดิม ปกติถ้าตัวบัวมากไป
นมจะเปรี้ยวมาก เพราะฉนั้น ต้องแจกจ่าย หรือเอาออกบ้าง
- ความเปรี้ยวจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ในการหมักเป็นหลัก
ระยะเวลาในการหมักที่เหมาะสม คือ 12 - 72 ชั่วโมง ยิ่งหมักนานเท่าไหร่
ก็จะยิ่งเปรี้ยวมากเท่านั้น ถ้าเปรี้ยวเกินไป ก็ลองลดเวลาที่หมักดู หรือจะลอง
ผสมกับน้ำผลไม้ก็ได้ อัตราส่วน น้ำผลไม้ 2 ส่วนต่อ Kefir (นมที่กรองแล้ว) 1 ส่วน
- ถ้าเอา Kefir แช่ไว้ในตู้เย็นหลังจากที่กรองแล้ว แล้วค่อยมาดื่ม
ก็จะทำให้เปรี้ยวน้อยลงด้วยอีกเหตุผลนึงก็คือ ปริมาณของบัวหิมะต่อนมมากเกินไป
ลองแบ่งบัวหิมะออก หรือเติมนมให้เยอะขึ้นก็ได้
- ลักษณะก่อนกรอง มันจะดูเหมือนโยเกิร์ต จะมีกลิ่นเปรี้ยวอยู่แล้ว
แต่จะไม่เหมือนกลิ่นเปรี้ยวแบบนมเสีย คือ ถึงมันจะเปรี้ยว แต่มันไม่ได้เสีย
ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เปรี้ยวแค่ไหนก็ทานได้ ขึ้นอยู่กับว่า
ตัวเราจะทนทานได้รึเปล่าเท่านั้นเอง เลี้ยงไว้ที่ไหนก็ได้ แต่ว่าเลี้ยงไว้ในอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด
บัวหิมะกิน lactose ที่อยู่ในนมเป็นอาหาร แล้วก็จะปล่อยอากาศออกมา เลยเห็นเป็นฟองๆ เป็นเรื่องปกติ นมไม่ได้เสีย
คำแนะนำ
1. บัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์ เป็นพืชตระกูลเดียวกับ “เห็ด” และ “ยีสต์”
2. นมหรือโยเกิร์ตที่ได้จากการเพาะเลี้ยงบัวหิมะนี้ มีรสและกลิ่นเปรี้ยว ไม่ใช่นมบูด
แต่มีกระบวนการย่อยสลายเหมือนกับการบูดของอาหาร ต่างกันที่จุลินทรีย์
ที่ใช้หมักบัวหิมะนี้ เป็นจุลินทรีย์ที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินแล้วไม่ท้องเสีย
3. ตอนที่ได้รับบัวหิมะมาในวันแรกๆ (ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์แรก)
ปริมาณจะยังมีน้อยอยู่ ให้ใส่นมแค่พอท่วมปิดหมด ไม่ต้องใส่นมหมดกล่อง
เพื่อให้เมล็ดบัวหิมะได้มีเวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ และไม่บอบช้ำจนเกินไป
4. ศึกษาจากเว็บต่างประเทศแล้ว บอกว่า จะดื่มทุกวันก็ได้
ไม่ต้องเว้น 10 วัน (อันนี้แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน)
5. นำโยเกิร์ตที่ได้มาพอกหน้า ประมาณ 30 นาที (หรือรอจนหน้าแห้ง)
ทุกคืนก่อนนอน แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า (ไม่ต้องล้างด้วยสบู่) จะทำให้หน้าเนียน
ขาว ใสขึ้น รู้สึกผิวเรียบเนียนละเอียดขึ้น สิวก็หาย เนื่องจากโยเกิร์ตบัวหิมะ
มีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลและสมานผิว
6. บางครั้งหากใช้โยเกิร์ตบัวหิมะพอกหน้าแล้วรู้คันยิบๆในบางจุด
นั่นไม่อันตราย แต่แสดงว่าผิวหนังบริเวณนั้น เป็นสิว แห้งลอก
ซึ่งอาการคันนี้หมายถึงการที่กรดผลไม้และวิตามินต่างๆกำลังเข้าไปช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
และสมานผิวให้หายเป็นปกติ เมื่อสิวหายแล้วอาการคันนี้จะหมดไป
7. ถ้าหากระชอนกรองที่เป็นพลาสติกไม่ได้ แนะนำให้ใช้กระชอนช้อนปลา
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี (ราคาประมาณ 8 – 12 บาท)
โดยเวลาใช้ ให้ระวัง ห้ามโดนบริเวณที่เป็นลวดเหล็กเด็ดขาด
8. ไม่จำเป็นต้องล้างบัวหิมะด้วยน้ำทุกวัน เพราะคลอรีนจะทำลาย
การเจริญเติบโตของบัวหิมะ ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำเลย พอกรองโยเกิร์ต ออก
ก็เทนมใหม่ ใส่ต่อได้เลย (แต่ควรล้างภาชนะที่ใส่ด้วยนะ) จะทำให้บัวหิมะโตเร็วมาก
เหมือนกับการเลี้ยงปลา ที่ต้องใส่น้ำเดิมของมันลงไป และการย้ายต้นไม้
ก็ต้องใส่ดินเดิมของมันลงไปด้วยเช่นกัน ถ้าหากต้องการล้างจริงๆ
ให้ใช้น้ำกลั่น หรือน้ำที่ปลอดสารคลอรีน
9. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน 2-3 วัน ให้ใส่นมแค่พอปิดท่วมเม็ดบัวหิมะ
แล้วแช่ตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาไว้
10. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน เกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป
ให้ล้างบัวหิมะด้วยน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้งหมาดๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วแช่ช่องฟรีซ
(ช่องแช่แข็ง)ในตู้เย็น เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของบัวหิมะชั่วคราว
และเป็นการป้องกันไม่ให้เสียด้วย
11. หากแช่เย็นแล้ว เมื่อกลับมาใช้อีกครั้ง ให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็ง
(ใช้น้ำอุ่นนิดๆได้ แต่ห้ามใช้น้ำร้อนเด็ดขาด) ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้น แล้วค่อยใส่นม
12. นมโยเกิร์ตที่กรองออกมาแล้ว ที่ดีที่สุดควรดื่มทันที แต่ถ้าอยาก
เก็บไว้ดื่มตอนหลัง สามารถนำไปแช่เย็นเก็บไว้ได้ 2-3 วัน
13. หากใครกินแล้วท้องไส้ปั่นป่วน นั่นไม่ได้แปลว่าคุณแพ้บัวหิมะ
แต่แสดงว่าร่างกายของคุณมีโรคหรือสารพิษตกค้าง ซึ่งอาการปั่นป่วน
คืออาการที่บอกว่า บัวหิมะนี้กำลังช่วยให้ร่างกายคุณขับไล่สารพิษนั้น
เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นให้ลดปริมาณการกินในช่วงแรกไปก่อน
เพราะร่างกายของแต่ละคนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวไม่เท่ากัน